
อุปสงค์ อุปทานคืออะไร สำคัญอย่างไรต่อการลงทุน
อธิบายกลไกการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าและบริการอย่างง่าย ๆ ด้วยกฎของอุปสงค์และอุปทาน ไม่มีรสชาติใดจะดี ถ้ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินกว่าอีกสิ่ง เมื่อจะลงทุน ต้องเข้าใจเบื้องหลังการขับเคลื่อนของราคาอย่างมีพลวัต
อาจรู้สึกว่าตลาดหุ้นเป็นเหมือนพายุหมุนของตัวเลขและกราฟ แต่คุณเคยหยุดสงสัยหรือไม่ว่าอะไรที่ทำให้ราคาขึ้นลงอย่างแท้จริง คำตอบอาจทำให้คุณประหลาดใจ ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่คุณพบอยู่ทุกวัน นั่นคือ “อุปสงค์” และ “อุปทาน”
ในบทความการเงินการลงทุนของ TOPONE Markets ครั้งนี้ เราจะแจกแจงความหมายโดยสรุปที่เข้าใจได้อย่างง่าย ๆ ของอุปสงค์และอุปทานในโลกการลงทุน สำรวจความสัมพันธ์แบบไดนามิกของทั้งสองสิ่งนี้ และเปิดเผยกฎของอุปสงค์และอุปทาน ด้วยการทำความเข้าใจแนวคิดหลักเหล่านี้ คุณจะก้าวไปสู่โลกแห่งการลงทุนในตลาดหุ้นที่น่าตื่นเต้น!
พร้อมที่จะไขความลับของอุปสงค์และอุปทานและเป็นนักลงทุนที่เชี่ยวชาญแล้วหรือยัง เจาะลึกและอ่านต่อ!
อุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) คืออะไร
คุณเคยสงสัยบ้างไหมว่า ทำไมกาแฟหนึ่งแก้วในร้านชื่อดังถึงแพงกว่าที่ร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมัน หรือเหตุใดบัตรคอนเสิร์ตจึงพุ่งสูงขึ้นเมื่อใกล้วันแสดง หรือบรรดาตั๋วเครื่องบิน โรงแรม และกิจกรรมท่องเที่ยวต่าขยับราคาขึ้นเมื่อคุณเลือกจองหรือซื้อในวันที่ใกล้เข้ามามากขึ้น คำตอบอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงอันน่าทึ่งระหว่างอุปสงค์และอุปทาน หรือปริมาณความต้องการของผู้ซื้อ ที่มีต่อปริมาณของสิ่งของที่มีในตลาด ซึ่งเป็นพลังที่มองไม่เห็นสองประการที่คอยกำหนดรูปแบบโลกแห่งการค้าและส่งผลกระทบต่อราคาของทุกสิ่งรอบตัวเรา
บทความที่คุณอาจสนใจ
ส่วนนี้จะเจาะลึกแนวคิดที่สำคัญเหล่านี้ โดยเริ่มจาก อุปสงค์คืออะไร แล้วสำรวจคู่ของมัน อุปทานคืออะไร ด้วยการทำความเข้าใจปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้ คุณจะได้รับข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าเกี่ยวกับวิธีการทำงานของตลาดการเงินใด ๆ ที่มิได้จำกัดเพียงแต่การเป็นนักลงทุนหรือเทรดเดอร์เท่านั้น และที่สำคัญกว่านั้นคือ วิธีใช้ประโยชน์จากความรู้นี้ในการตัดสินใจลงทุนอย่างมีข้อมูลตามสภาวะของตลาด เพื่อให้สามารถซื้อของดีราคาถูกเข้าพอร์ต และเร่งทำผลกำไรได้ดีกว่าในยามที่ราคาพุ่งขึ้น
อุปสงค์ (Demand) คืออะไร
ในย่อนหน้านี้ เราจะสำรวจแนวคิดเรื่องอุปสงค์และความสัมพันธ์กับราคา พฤติกรรมผู้บริโภค และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่าง ๆ
คุณเคยตระหนักถึงราคาของสินค้าชนิดใด ๆ ที่อยู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนราคาเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนพอสมควรบ้างหรือไม่ คำตอบของข้อสงสัยนี้ มักอยู่ในแนวคิดพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เรียกว่า “อุปสงค์” ซึ่งใช้อธิบายถึงความต้องการของผู้บริโภคที่มีต่อสินค้าชนิดใด ๆ และความสามารถของผู้บริโภคในการซื้อสินค้าหรือบริการนั้นในราคาที่ผู้ขายกำหนด ภายใต้เงื่อนไขว่า เมื่ออุปทานไม่เปลี่ยนแปลง อุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง จะส่งผลต่อทิศทางราคาอย่างไร
อุปสงค์นี้มิได้จำกัดเพียงแค่ “ความต้องการ” เท่านั้น แต่มันครอบคลุมถึง “กำลังซื้อ” ที่แปลงความปรารถนานั้นให้เป็นการซื้อจริง (เกิดการซื้อขายขึ้นจริง ๆ) การทำความเข้าใจอุปสงค์ด้านเศรษฐศาสตร์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเข้าใจความผันผวนของตลาดและการตัดสินใจลงทุนอย่างมีข้อมูลเป็นพื้นฐาน
บทความที่คุณอาจสนใจ
เพื่อให้เข้าใจกลกไกของอุปสงคมากยิ่งขึ้นว่ามันคืออะไร ลองนึกภาพตามเนื้อหาต่อไปนี้
เมื่อราคาสินค้าและบริการสูงขึ้นมาก มีเพียงไม่กี่คนที่มีความต้องการอย่างแรงกล้าและมีทรัพยากรจำนวนมากเท่านั้นที่อาจยินดีที่จะซื้อ ในทางกลับกัน ราคาที่ลดลงอย่างมากสามารถดึงดูดผู้บริโภคในวงกว้างมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่ความต้องการที่สูงขึ้น หลักการนี้เรียกว่ากฎแห่งอุปสงค์ ช่วยอธิบายว่าทำไมรองเท้าผ้าใบรุ่นลิมิเต็ดถึงมีราคาสูงเกินไปในช่วงเปิดตัว ในขณะที่รองเท้าผ้าใบที่มีรูปทรงหรือสีสันคล้ายกัน แต่ผลิตจำนวนมาก ราคาของมันก็ไม่ได้ต่างกันเมื่อเวลาผ่านไป
มนุษย์เราทุกคน ต้องการ “ซื้อ” เพื่อสนองความต้องการบางอย่างของตนเอง อย่าืมว่าเราไม่ได้ซื้อเพราะมันจำเป็นแต่เพียงเท่านั้น เราซื้อเพราะอยากได้หรือหากใช้ตรรกะมากขึ้น เราอาจจะซื้อเพราะมันมีมูลค่าในตัวเอง (เช่นการซื้อทองคำในฐานะเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง)
เรื่องของความต้องการไม่ใช่แนวคิดที่เหมาะกับทุกคน นักเศรษฐศาสตร์บางท่านจำแนกประเภทของความต้องการ (อุปสงค์) ออกเป็นประเภทต่าง ๆ ตามปัจจัยที่มีอิทธิพล ต่อไปนี้เป็น 4 ประเภทหลักที่ควรพิจารณา
อุปสงค์ส่วนบุคคล: หมายถึงความปรารถนาและความสามารถของผู้บริโภครายเดียวในการซื้อสินค้าหรือบริการเฉพาะเจาะจงในราคาที่กำหนด
ความต้องการของตลาด: สิ่งนี้สะท้อนถึงปริมาณรวมของสินค้าหรือบริการที่ผู้บริโภคทุกคนในตลาดยินดีและสามารถซื้อได้ในราคาต่าง ๆ
ความต้องการที่ได้รับ: ความต้องการประเภทนี้เกิดขึ้นสำหรับสินค้าหรือบริการที่ใช้ในการผลิตสินค้าหรือบริการอื่น เช่น ความต้องการเหล็ก (ใช้ในการผลิตรถยนต์) มาจากความต้องการรถยนต์
ความต้องการในการลงทุน: หมายถึงความเต็มใจของนักลงทุนในการซื้อสินทรัพย์เฉพาะ เช่น หุ้น พันธบัตร หรืออสังหาริมทรัพย์ ความต้องการนี้พร้อมกับอุปทานที่มีอยู่ของสินทรัพย์นั้น มีบทบาทสำคัญในการกำหนดราคาในตลาด
คิดย้อนกลับไปที่ตัวอย่างรองเท้าผ้าใบรุ่นลิมิเต็ด หากคู่นี้มีราคา 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ คุณก็อาจจะซื้อมันได้ทันที แต่หากราคากระโดดขึ้นไปถึง 10 ดอลลาร์สหรัฐฯ คุณอาจจะพิจารณาใหม่หรือเลือกซื้อคู่อื่น แบบอื่นที่ราคาย่อมเยาว์ลงกว่า ซึ่งหลักการนี้สามารถใช้อธิบายได้กับทุกสิ่งตั้งแต่ตั๋วคอนเสิร์ต ดีลที่พัก และกิจกรรมท่องเที่ยว ไปจนถึงสินทรัพย์การลงทุน
ในโลกของการลงทุน ความต้องการในการลงทุนหมายถึงความเต็มใจของนักลงทุนในการซื้อสินทรัพย์โดยเฉพาะ (เช่น หุ้น พันธบัตร หรืออสังหาริมทรัพย์) ความต้องการนี้พร้อมกับอุปทานที่มีอยู่ของสินทรัพย์นั้น มีบทบาทสำคัญในการกำหนดราคาในตลาด ด้วยการทำความเข้าใจปัจจัยที่มีอิทธิพลต่ออุปสงค์ เช่น ความชอบของผู้บริโภค ระดับรายได้ และทางเลือกอื่น นักลงทุนจะได้รับข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของราคาที่อาจเกิดขึ้น และตัดสินใจลงทุนโดยมีข้อมูลมากขึ้น
ด้วยการสำรวจแนวคิดเรื่องอุปสงค์เพิ่มเติม เราจะเจาะลึกลงไปว่าอุปสงค์มีปฏิสัมพันธ์กับอุปทานอย่างไร เพื่อสร้างสมดุลแบบไดนามิกที่กำหนดราคาในตลาดสำหรับสินค้า บริการ และสินทรัพย์การลงทุนต่าง ๆ
อุปทาน (Supply) คืออะไร
เมื่อกล่าวถึง “อุปทาน” เรากำลังมองในภาพของผู้ผลิต ปริมาณสินค้าและบริการที่นำออกสู่ตลาด เปิดเผยปัจจัยที่กำหนดจำนวนสินค้าหรือบริการที่มีอยู่ในตลาด และวิธีที่สินค้าและบริการมีปฏิสัมพันธ์กับความต้องการเพื่อสร้างราคาตลาดที่แท้จริง เช่นเดียวกัน ภายใต้เงื่อนไขว่า เมื่ออุปสงค์ไม่เปลี่ยนแปลง อุปทานที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง จะส่งผลต่อทิศทางราคาอย่างไร
มาดูกันว่าอุปทานในเศรษฐศาสตร์มีอะไรบ้าง อุปทานที่อธิบายนั้นหมายถึงปริมาณของสินค้าหรือบริการที่ผู้ผลิตยินดีและสามารถขายได้ในราคาต่าง ๆ ลองนึกภาพร้านเบเกอรี จำนวนครัวซองต์ที่พวกเขาอบขายแต่ละวันนั้นสะท้อนถึงอุปทานที่มีอยู่
เช่นเดียวกับอุปสงค์ อุปทานเป็นไปตามหลักการพื้นฐานที่เรียกว่ากฎอุปทาน กฎเกณฑ์นี้ระบุว่า เมื่อราคาของสินค้าหรือบริการเพิ่มขึ้น (โดยที่ปัจจัยอื่น ๆ คงที่) อุปทานโดยทั่วไปจะเพิ่มขึ้น กลับมาที่ตัวอย่างเบเกอรีข้างต้น หากมีความต้องการครัวซองต์เพิ่มขึ้นอย่างมาก (เช่นจากกระแสที่มากขึ้น ด้วยอิทธิพลใด ๆ) ร้านเบเกอรีต้องการให้อบขนมมากขึ้นเพื่อได้ประโยชน์จากอัตรากำไรที่สูงขึ้น
แน่นอนว่า นอกเหนือจากราคามีปัจจัยหลายประการที่มีอิทธิพลต่ออุปทาน หนึ่งในนั้นคือต้นทุนการผลิตที่มีบทบาทสำคัญ หากต้นทุนของวัตถุดิบหรือแรงงานเพิ่มขึ้น อาจทำกำไรได้น้อยลง ส่งผลให้อุปทานลดลง (ของแพง คนขายมองว่าขายแล้วไม่คุ้มทุน) ในอีกด้าน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยียังส่งผลต่ออุปทานอีกด้วย ลองนึกภาพเครื่องจักรใหม่ ๆ ที่ช่วยให้ร้านเบเกอรีผลิตครัวซองต์ได้เร็วและถูกกว่ามากและสามารถลดการจ้างแรงงานคนลง สิ่งนี้อาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของอุปทานอย่างมีนัยสำคัญ สุดท้ายนี้ กฎระเบียบของรัฐบาลก็สามารถมีอิทธิพลต่ออุปทานได้ เช่น ข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดยิ่งขึ้นอาจจำกัดการผลิตสินค้าบางอย่าง
ความสัมพันธ์ระหว่าง Demand และ Supply
เราได้เจาะลึกเข้าไปในโลกของอุปสงค์และอุปทานที่แยกจากกัน แต่ความมหัศจรรย์ที่แท้จริงจะเกิดขึ้นเมื่อทั้งสองทำงานร่วมกัน ลองนึกภาพตลาดการค้าที่คึกคัก อุปสงค์เป็นตัวแทนของผู้ซื้อที่กระตือรือร้น ในขณะที่อุปทานเป็นตัวแทนของผู้ขายที่เสนอสินค้าของตน ราคาที่แรงทั้งสองมาบรรจบกันจะสร้างจุดสมดุลแบบไดนามิก หรือที่เรียกว่าราคาสมดุล
ด้านหนึ่ง เรามีเส้นอุปสงค์ซึ่งลาดลง สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงกฎแห่งอุปสงค์: เมื่อราคาสูงขึ้น ผู้ซื้อจำนวนน้อยลงยินดีซื้อ ในอีกด้านหนึ่ง เส้นอุปทานจะลาดขึ้นตามกฎของอุปทาน: เมื่อราคาเพิ่มขึ้น โดยทั่วไปแล้วผู้ผลิตจะได้รับแรงจูงใจที่จะเสนอสินค้าหรือบริการมากขึ้น แล้วเส้นโค้งทั้งสองนี้ตัดกันที่ไหน จุดที่น่าสนใจนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างอุปสงค์และอุปทานกับราคา แสดงถึงราคาสมดุล ณ จุดนี้ ปริมาณของสินค้าหรือบริการที่ผู้ซื้อต้องการจะตรงกับปริมาณที่ผู้ขายให้มาทุกประการ
อย่างไรก็ตาม ตลาดไม่เคยคงที่ หากราคาเบี่ยงเบนไปจากสมดุล สิ่งที่น่าสนใจก็เกิดขึ้น เช่น หากราคาตั้งไว้เหนือจุดสมดุล เราก็จะมีส่วนเกิน ซึ่งหมายความว่าผู้ขายได้เสนอราคามากกว่าที่ผู้ซื้อยินดีซื้อ ส่งผลให้เกิดสินค้าคงคลังที่ขายไม่ออก เพื่อล้างส่วนเกินนี้และกลับสู่สมดุล โดยทั่วไปผู้ขายจะลดราคาลง ทำให้ผลิตภัณฑ์ดึงดูดผู้ซื้อมากขึ้น
ในทางกลับกัน หากผู้ขายตั้งราคาไว้ต่ำกว่าจุดสมดุล ตลาดจะประสบปัญหาการขาดแคลน เนื่องจากผู้ซื้อมีความกระตือรือร้นที่จะซื้อมากกว่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน (ของถูกลงมาก ใคร ๆ ก็อยากได้) เพื่อจัดการกับปัญหาการขาดแคลนและเข้าถึงจุดสมดุล ผู้ขายมักจะขึ้นราคา ทำให้ผลิตภัณฑ์มีคุณค่ามากขึ้น และทำให้ผู้ซื้อบางรายท้อใจ ซึ่งทำให้เกิดความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน
เมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อที่ราคาสินค้าและบริการแพงขึ้นดังตัวอย่างในสหรัฐฯ FED จึงแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อด้วยการขึ้นดอกเบี้ยเงินฝาก เพื่อกระตุ้นอุปสงค์ (ต่อเงินฝาก) ให้ประชาชนมาให้ความสำคัญกับการฝากเงินสดแทนการลงทุนในหุ้นหรือซื้อสินค้าและบริการในตลาด (ที่ผู้ขายของก็คือเจ้าของหุ้น คิดภาพ หุ้น PTT ขายน้ำมัน หุ้น AIS บริการสัญญาณโทรศัพท์ เป็นต้น) หรืองดการใช้จ่ายลงแล้วหันมาฝากเงินรับผลตอบแทนที่ได้อย่างเห็น ๆ
เมื่อตลาด (ประชาชน) ถูกจูงใจด้วยดอกเบี้ยเงินฝากที่น่าดึงดูดกว่าผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหุ้นแล้ว บรรดาธุรกิจเหล่านั้น ถ้ายังต้องการขายสินค้าและบริการให้ได้ เขาจะต้องพยายามงัดกลยุทธ์การตลาดออกมาเพื่อชักจูงให้คนจ่ายเงินซื้อ การทำเช่นนี้ซ้ำ ๆ ระหว่างการขึ้นดอกเบี้ยของ FED จะค่อย ๆ ดึงราคาสินค้าและบริการในตลาดที่ทะยานสูงนั้นกลับลงมาในจุดที่เหมาะสมได้ในที่สุด
การทำความเข้าใจกฎแห่งอุปสงค์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำความเข้าใจการเคลื่อนไหวของตลาดและการตัดสินใจลงทุนอย่างมีข้อมูล ด้วยการวิเคราะห์ว่าการเปลี่ยนแปลงของราคาอาจส่งผลต่อความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งอย่างไร นักลงทุนสามารถคาดการณ์ความผันผวนของราคาที่อาจเกิดขึ้นได้ ความรู้นี้ช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการซื้อต่ำโดยคาดว่าจะมีความต้องการเพิ่มขึ้น หรือการขายอย่างมีกลยุทธ์ก่อนที่ราคาจะลดลง
การลงทุนต้องเข้าใจกฎอุปสงค์และอุปทาน
เมื่อคุณเข้าใจถึงความแตกต่างที่ซับซ้อนระหว่างอุปสงค์และอุปทานแล้ว ก็ถึงเวลาใช้ประโยชน์จากความรู้นี้เพื่อการตัดสินใจลงทุนที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้น แม้ว่าพลังทางเศรษฐกิจอาจมีความซับซ้อน แต่การทำความเข้าใจว่าพลังเหล่านี้มีอิทธิพลต่อการลงทุนเฉพาะเจาะจงอย่างไรสามารถให้ข้อได้เปรียบที่สำคัญแก่คุณได้
สิ่งสำคัญอยู่ที่การวิเคราะห์แนวโน้มอุปสงค์และอุปทานเฉพาะสำหรับการลงทุนที่เลือก สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการเจาะลึกปัจจัยที่ส่งผลต่อทั้งสองด้านของสมการ ในด้านอุปสงค์ ให้ศึกษาความต้องการของผู้บริโภค ระดับรายได้ และปัจจัยทดแทนที่เป็นไปได้ เช่น หากคุณลงทุนในเครื่องติดตามฟิตเนสตัวใหม่ ให้วิเคราะห์แนวโน้มด้านจิตสำนึกด้านสุขภาพและความพร้อมใช้งานของอุปกรณ์ออกกำลังกายทางเลือก
ดังที่เราต่างทราบกันดีว่า ไม่มีสินค้าการเงินใดที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดในทุกเวลา ความหมายของข้อความนี้สามารถอธิบายได้อย่างง่าย ๆ ด้วยกฎของอุปสงค์และอุปทาน เมื่อความต้องการของหุ้นลดลง เพราะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่เพิ่มขึ้นจูงใจการฝากเงิน ก็น่าจะเป็นเวลาทองของการช้อนซื้อหุ้นที่คุณพิจารณาแล้วว่ามีศักยภาพในการเติบโต ซึ่งไม่ยากเกินไปที่จะเริ่มต้นลงทุน ด้วยการติดตามดัชนีตลาดหุ้นผ่านการลงทุนกองทุนรวมหรือ ETF ในขณะเดียวกัน เวลาที่ดอกเบี้ยสูงเช่นนี้ อีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือราคาทองที่ถูกลง
สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าการวิเคราะห์อุปสงค์และอุปทานไม่ใช่ลูกบอลคริสตัล เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดและสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันสามารถขัดขวางตลาดได้เสมอ อย่างไรก็ตาม ด้วยการใช้เครื่องมืออันมีค่านี้ คุณสามารถตัดสินใจลงทุนโดยมีข้อมูลครบถ้วนโดยอาศัยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่ออุปสงค์ของตลาดและความสัมพันธ์ของอุปทานกับราคา สิ่งนี้ช่วยให้คุณสามารถนำทางการเปลี่ยนแปลงของตลาดด้วยความมั่นใจมากขึ้น และอาจตัดสินใจเลือกการลงทุนที่ดีกว่าในระยะยาว
ด้วยการทำความเข้าใจอุปสงค์และอุปทาน คุณจะได้รับความได้เปรียบอันทรงคุณค่าในตลาดหุ้น ร่วมมือกับ TOPONE Markets และปลดล็อคศักยภาพการลงทุนอย่างเต็มที่!
ไม่ต้องรออีกต่อไป! เปิดบัญชีเทรดฟรีวันนี้และเริ่มต้นการเดินทางการลงทุนด้วยความมั่นใจ!
อาจรู้สึกว่าตลาดหุ้นเป็นเหมือนพายุหมุนของตัวเลขและกราฟ แต่คุณเคยหยุดสงสัยหรือไม่ว่าอะไรที่ทำให้ราคาขึ้นลงอย่างแท้จริง คำตอบอาจทำให้คุณประหลาดใจ ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่คุณพบอยู่ทุกวัน นั่นคือ “อุปสงค์” และ “อุปทาน”
ในบทความการเงินการลงทุนของ TOPONE Markets ครั้งนี้ เราจะแจกแจงความหมายโดยสรุปที่เข้าใจได้อย่างง่าย ๆ ของอุปสงค์และอุปทานในโลกการลงทุน สำรวจความสัมพันธ์แบบไดนามิกของทั้งสองสิ่งนี้ และเปิดเผยกฎของอุปสงค์และอุปทาน ด้วยการทำความเข้าใจแนวคิดหลักเหล่านี้ คุณจะก้าวไปสู่โลกแห่งการลงทุนในตลาดหุ้นที่น่าตื่นเต้น!
พร้อมที่จะไขความลับของอุปสงค์และอุปทานและเป็นนักลงทุนที่เชี่ยวชาญแล้วหรือยัง เจาะลึกและอ่านต่อ!
อุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) คืออะไร
คุณเคยสงสัยบ้างไหมว่า ทำไมกาแฟหนึ่งแก้วในร้านชื่อดังถึงแพงกว่าที่ร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมัน หรือเหตุใดบัตรคอนเสิร์ตจึงพุ่งสูงขึ้นเมื่อใกล้วันแสดง หรือบรรดาตั๋วเครื่องบิน โรงแรม และกิจกรรมท่องเที่ยวต่าขยับราคาขึ้นเมื่อคุณเลือกจองหรือซื้อในวันที่ใกล้เข้ามามากขึ้น คำตอบอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงอันน่าทึ่งระหว่างอุปสงค์และอุปทาน หรือปริมาณความต้องการของผู้ซื้อ ที่มีต่อปริมาณของสิ่งของที่มีในตลาด ซึ่งเป็นพลังที่มองไม่เห็นสองประการที่คอยกำหนดรูปแบบโลกแห่งการค้าและส่งผลกระทบต่อราคาของทุกสิ่งรอบตัวเรา
บทความที่คุณอาจสนใจ
ส่วนนี้จะเจาะลึกแนวคิดที่สำคัญเหล่านี้ โดยเริ่มจาก อุปสงค์คืออะไร แล้วสำรวจคู่ของมัน อุปทานคืออะไร ด้วยการทำความเข้าใจปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้ คุณจะได้รับข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าเกี่ยวกับวิธีการทำงานของตลาดการเงินใด ๆ ที่มิได้จำกัดเพียงแต่การเป็นนักลงทุนหรือเทรดเดอร์เท่านั้น และที่สำคัญกว่านั้นคือ วิธีใช้ประโยชน์จากความรู้นี้ในการตัดสินใจลงทุนอย่างมีข้อมูลตามสภาวะของตลาด เพื่อให้สามารถซื้อของดีราคาถูกเข้าพอร์ต และเร่งทำผลกำไรได้ดีกว่าในยามที่ราคาพุ่งขึ้น
อุปสงค์ (Demand) คืออะไร
ในย่อนหน้านี้ เราจะสำรวจแนวคิดเรื่องอุปสงค์และความสัมพันธ์กับราคา พฤติกรรมผู้บริโภค และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่าง ๆ
คุณเคยตระหนักถึงราคาของสินค้าชนิดใด ๆ ที่อยู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนราคาเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนพอสมควรบ้างหรือไม่ คำตอบของข้อสงสัยนี้ มักอยู่ในแนวคิดพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เรียกว่า “อุปสงค์” ซึ่งใช้อธิบายถึงความต้องการของผู้บริโภคที่มีต่อสินค้าชนิดใด ๆ และความสามารถของผู้บริโภคในการซื้อสินค้าหรือบริการนั้นในราคาที่ผู้ขายกำหนด ภายใต้เงื่อนไขว่า เมื่ออุปทานไม่เปลี่ยนแปลง อุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง จะส่งผลต่อทิศทางราคาอย่างไร
อุปสงค์นี้มิได้จำกัดเพียงแค่ “ความต้องการ” เท่านั้น แต่มันครอบคลุมถึง “กำลังซื้อ” ที่แปลงความปรารถนานั้นให้เป็นการซื้อจริง (เกิดการซื้อขายขึ้นจริง ๆ) การทำความเข้าใจอุปสงค์ด้านเศรษฐศาสตร์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเข้าใจความผันผวนของตลาดและการตัดสินใจลงทุนอย่างมีข้อมูลเป็นพื้นฐาน
บทความที่คุณอาจสนใจ
เพื่อให้เข้าใจกลกไกของอุปสงคมากยิ่งขึ้นว่ามันคืออะไร ลองนึกภาพตามเนื้อหาต่อไปนี้
เมื่อราคาสินค้าและบริการสูงขึ้นมาก มีเพียงไม่กี่คนที่มีความต้องการอย่างแรงกล้าและมีทรัพยากรจำนวนมากเท่านั้นที่อาจยินดีที่จะซื้อ ในทางกลับกัน ราคาที่ลดลงอย่างมากสามารถดึงดูดผู้บริโภคในวงกว้างมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่ความต้องการที่สูงขึ้น หลักการนี้เรียกว่ากฎแห่งอุปสงค์ ช่วยอธิบายว่าทำไมรองเท้าผ้าใบรุ่นลิมิเต็ดถึงมีราคาสูงเกินไปในช่วงเปิดตัว ในขณะที่รองเท้าผ้าใบที่มีรูปทรงหรือสีสันคล้ายกัน แต่ผลิตจำนวนมาก ราคาของมันก็ไม่ได้ต่างกันเมื่อเวลาผ่านไป
มนุษย์เราทุกคน ต้องการ “ซื้อ” เพื่อสนองความต้องการบางอย่างของตนเอง อย่าืมว่าเราไม่ได้ซื้อเพราะมันจำเป็นแต่เพียงเท่านั้น เราซื้อเพราะอยากได้หรือหากใช้ตรรกะมากขึ้น เราอาจจะซื้อเพราะมันมีมูลค่าในตัวเอง (เช่นการซื้อทองคำในฐานะเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง)
เรื่องของความต้องการไม่ใช่แนวคิดที่เหมาะกับทุกคน นักเศรษฐศาสตร์บางท่านจำแนกประเภทของความต้องการ (อุปสงค์) ออกเป็นประเภทต่าง ๆ ตามปัจจัยที่มีอิทธิพล ต่อไปนี้เป็น 4 ประเภทหลักที่ควรพิจารณา
อุปสงค์ส่วนบุคคล: หมายถึงความปรารถนาและความสามารถของผู้บริโภครายเดียวในการซื้อสินค้าหรือบริการเฉพาะเจาะจงในราคาที่กำหนด
ความต้องการของตลาด: สิ่งนี้สะท้อนถึงปริมาณรวมของสินค้าหรือบริการที่ผู้บริโภคทุกคนในตลาดยินดีและสามารถซื้อได้ในราคาต่าง ๆ
ความต้องการที่ได้รับ: ความต้องการประเภทนี้เกิดขึ้นสำหรับสินค้าหรือบริการที่ใช้ในการผลิตสินค้าหรือบริการอื่น เช่น ความต้องการเหล็ก (ใช้ในการผลิตรถยนต์) มาจากความต้องการรถยนต์
ความต้องการในการลงทุน: หมายถึงความเต็มใจของนักลงทุนในการซื้อสินทรัพย์เฉพาะ เช่น หุ้น พันธบัตร หรืออสังหาริมทรัพย์ ความต้องการนี้พร้อมกับอุปทานที่มีอยู่ของสินทรัพย์นั้น มีบทบาทสำคัญในการกำหนดราคาในตลาด
คิดย้อนกลับไปที่ตัวอย่างรองเท้าผ้าใบรุ่นลิมิเต็ด หากคู่นี้มีราคา 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ คุณก็อาจจะซื้อมันได้ทันที แต่หากราคากระโดดขึ้นไปถึง 10 ดอลลาร์สหรัฐฯ คุณอาจจะพิจารณาใหม่หรือเลือกซื้อคู่อื่น แบบอื่นที่ราคาย่อมเยาว์ลงกว่า ซึ่งหลักการนี้สามารถใช้อธิบายได้กับทุกสิ่งตั้งแต่ตั๋วคอนเสิร์ต ดีลที่พัก และกิจกรรมท่องเที่ยว ไปจนถึงสินทรัพย์การลงทุน
ในโลกของการลงทุน ความต้องการในการลงทุนหมายถึงความเต็มใจของนักลงทุนในการซื้อสินทรัพย์โดยเฉพาะ (เช่น หุ้น พันธบัตร หรืออสังหาริมทรัพย์) ความต้องการนี้พร้อมกับอุปทานที่มีอยู่ของสินทรัพย์นั้น มีบทบาทสำคัญในการกำหนดราคาในตลาด ด้วยการทำความเข้าใจปัจจัยที่มีอิทธิพลต่ออุปสงค์ เช่น ความชอบของผู้บริโภค ระดับรายได้ และทางเลือกอื่น นักลงทุนจะได้รับข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของราคาที่อาจเกิดขึ้น และตัดสินใจลงทุนโดยมีข้อมูลมากขึ้น
ด้วยการสำรวจแนวคิดเรื่องอุปสงค์เพิ่มเติม เราจะเจาะลึกลงไปว่าอุปสงค์มีปฏิสัมพันธ์กับอุปทานอย่างไร เพื่อสร้างสมดุลแบบไดนามิกที่กำหนดราคาในตลาดสำหรับสินค้า บริการ และสินทรัพย์การลงทุนต่าง ๆ
อุปทาน (Supply) คืออะไร
เมื่อกล่าวถึง “อุปทาน” เรากำลังมองในภาพของผู้ผลิต ปริมาณสินค้าและบริการที่นำออกสู่ตลาด เปิดเผยปัจจัยที่กำหนดจำนวนสินค้าหรือบริการที่มีอยู่ในตลาด และวิธีที่สินค้าและบริการมีปฏิสัมพันธ์กับความต้องการเพื่อสร้างราคาตลาดที่แท้จริง เช่นเดียวกัน ภายใต้เงื่อนไขว่า เมื่ออุปสงค์ไม่เปลี่ยนแปลง อุปทานที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง จะส่งผลต่อทิศทางราคาอย่างไร
มาดูกันว่าอุปทานในเศรษฐศาสตร์มีอะไรบ้าง อุปทานที่อธิบายนั้นหมายถึงปริมาณของสินค้าหรือบริการที่ผู้ผลิตยินดีและสามารถขายได้ในราคาต่าง ๆ ลองนึกภาพร้านเบเกอรี จำนวนครัวซองต์ที่พวกเขาอบขายแต่ละวันนั้นสะท้อนถึงอุปทานที่มีอยู่
เช่นเดียวกับอุปสงค์ อุปทานเป็นไปตามหลักการพื้นฐานที่เรียกว่ากฎอุปทาน กฎเกณฑ์นี้ระบุว่า เมื่อราคาของสินค้าหรือบริการเพิ่มขึ้น (โดยที่ปัจจัยอื่น ๆ คงที่) อุปทานโดยทั่วไปจะเพิ่มขึ้น กลับมาที่ตัวอย่างเบเกอรีข้างต้น หากมีความต้องการครัวซองต์เพิ่มขึ้นอย่างมาก (เช่นจากกระแสที่มากขึ้น ด้วยอิทธิพลใด ๆ) ร้านเบเกอรีต้องการให้อบขนมมากขึ้นเพื่อได้ประโยชน์จากอัตรากำไรที่สูงขึ้น
แน่นอนว่า นอกเหนือจากราคามีปัจจัยหลายประการที่มีอิทธิพลต่ออุปทาน หนึ่งในนั้นคือต้นทุนการผลิตที่มีบทบาทสำคัญ หากต้นทุนของวัตถุดิบหรือแรงงานเพิ่มขึ้น อาจทำกำไรได้น้อยลง ส่งผลให้อุปทานลดลง (ของแพง คนขายมองว่าขายแล้วไม่คุ้มทุน) ในอีกด้าน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยียังส่งผลต่ออุปทานอีกด้วย ลองนึกภาพเครื่องจักรใหม่ ๆ ที่ช่วยให้ร้านเบเกอรีผลิตครัวซองต์ได้เร็วและถูกกว่ามากและสามารถลดการจ้างแรงงานคนลง สิ่งนี้อาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของอุปทานอย่างมีนัยสำคัญ สุดท้ายนี้ กฎระเบียบของรัฐบาลก็สามารถมีอิทธิพลต่ออุปทานได้ เช่น ข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดยิ่งขึ้นอาจจำกัดการผลิตสินค้าบางอย่าง
ความสัมพันธ์ระหว่าง Demand และ Supply
เราได้เจาะลึกเข้าไปในโลกของอุปสงค์และอุปทานที่แยกจากกัน แต่ความมหัศจรรย์ที่แท้จริงจะเกิดขึ้นเมื่อทั้งสองทำงานร่วมกัน ลองนึกภาพตลาดการค้าที่คึกคัก อุปสงค์เป็นตัวแทนของผู้ซื้อที่กระตือรือร้น ในขณะที่อุปทานเป็นตัวแทนของผู้ขายที่เสนอสินค้าของตน ราคาที่แรงทั้งสองมาบรรจบกันจะสร้างจุดสมดุลแบบไดนามิก หรือที่เรียกว่าราคาสมดุล
ด้านหนึ่ง เรามีเส้นอุปสงค์ซึ่งลาดลง สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงกฎแห่งอุปสงค์: เมื่อราคาสูงขึ้น ผู้ซื้อจำนวนน้อยลงยินดีซื้อ ในอีกด้านหนึ่ง เส้นอุปทานจะลาดขึ้นตามกฎของอุปทาน: เมื่อราคาเพิ่มขึ้น โดยทั่วไปแล้วผู้ผลิตจะได้รับแรงจูงใจที่จะเสนอสินค้าหรือบริการมากขึ้น แล้วเส้นโค้งทั้งสองนี้ตัดกันที่ไหน จุดที่น่าสนใจนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างอุปสงค์และอุปทานกับราคา แสดงถึงราคาสมดุล ณ จุดนี้ ปริมาณของสินค้าหรือบริการที่ผู้ซื้อต้องการจะตรงกับปริมาณที่ผู้ขายให้มาทุกประการ
อย่างไรก็ตาม ตลาดไม่เคยคงที่ หากราคาเบี่ยงเบนไปจากสมดุล สิ่งที่น่าสนใจก็เกิดขึ้น เช่น หากราคาตั้งไว้เหนือจุดสมดุล เราก็จะมีส่วนเกิน ซึ่งหมายความว่าผู้ขายได้เสนอราคามากกว่าที่ผู้ซื้อยินดีซื้อ ส่งผลให้เกิดสินค้าคงคลังที่ขายไม่ออก เพื่อล้างส่วนเกินนี้และกลับสู่สมดุล โดยทั่วไปผู้ขายจะลดราคาลง ทำให้ผลิตภัณฑ์ดึงดูดผู้ซื้อมากขึ้น
ในทางกลับกัน หากผู้ขายตั้งราคาไว้ต่ำกว่าจุดสมดุล ตลาดจะประสบปัญหาการขาดแคลน เนื่องจากผู้ซื้อมีความกระตือรือร้นที่จะซื้อมากกว่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน (ของถูกลงมาก ใคร ๆ ก็อยากได้) เพื่อจัดการกับปัญหาการขาดแคลนและเข้าถึงจุดสมดุล ผู้ขายมักจะขึ้นราคา ทำให้ผลิตภัณฑ์มีคุณค่ามากขึ้น และทำให้ผู้ซื้อบางรายท้อใจ ซึ่งทำให้เกิดความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน
เมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อที่ราคาสินค้าและบริการแพงขึ้นดังตัวอย่างในสหรัฐฯ FED จึงแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อด้วยการขึ้นดอกเบี้ยเงินฝาก เพื่อกระตุ้นอุปสงค์ (ต่อเงินฝาก) ให้ประชาชนมาให้ความสำคัญกับการฝากเงินสดแทนการลงทุนในหุ้นหรือซื้อสินค้าและบริการในตลาด (ที่ผู้ขายของก็คือเจ้าของหุ้น คิดภาพ หุ้น PTT ขายน้ำมัน หุ้น AIS บริการสัญญาณโทรศัพท์ เป็นต้น) หรืองดการใช้จ่ายลงแล้วหันมาฝากเงินรับผลตอบแทนที่ได้อย่างเห็น ๆ
เมื่อตลาด (ประชาชน) ถูกจูงใจด้วยดอกเบี้ยเงินฝากที่น่าดึงดูดกว่าผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหุ้นแล้ว บรรดาธุรกิจเหล่านั้น ถ้ายังต้องการขายสินค้าและบริการให้ได้ เขาจะต้องพยายามงัดกลยุทธ์การตลาดออกมาเพื่อชักจูงให้คนจ่ายเงินซื้อ การทำเช่นนี้ซ้ำ ๆ ระหว่างการขึ้นดอกเบี้ยของ FED จะค่อย ๆ ดึงราคาสินค้าและบริการในตลาดที่ทะยานสูงนั้นกลับลงมาในจุดที่เหมาะสมได้ในที่สุด
การทำความเข้าใจกฎแห่งอุปสงค์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำความเข้าใจการเคลื่อนไหวของตลาดและการตัดสินใจลงทุนอย่างมีข้อมูล ด้วยการวิเคราะห์ว่าการเปลี่ยนแปลงของราคาอาจส่งผลต่อความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งอย่างไร นักลงทุนสามารถคาดการณ์ความผันผวนของราคาที่อาจเกิดขึ้นได้ ความรู้นี้ช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการซื้อต่ำโดยคาดว่าจะมีความต้องการเพิ่มขึ้น หรือการขายอย่างมีกลยุทธ์ก่อนที่ราคาจะลดลง
การลงทุนต้องเข้าใจกฎอุปสงค์และอุปทาน
เมื่อคุณเข้าใจถึงความแตกต่างที่ซับซ้อนระหว่างอุปสงค์และอุปทานแล้ว ก็ถึงเวลาใช้ประโยชน์จากความรู้นี้เพื่อการตัดสินใจลงทุนที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้น แม้ว่าพลังทางเศรษฐกิจอาจมีความซับซ้อน แต่การทำความเข้าใจว่าพลังเหล่านี้มีอิทธิพลต่อการลงทุนเฉพาะเจาะจงอย่างไรสามารถให้ข้อได้เปรียบที่สำคัญแก่คุณได้
สิ่งสำคัญอยู่ที่การวิเคราะห์แนวโน้มอุปสงค์และอุปทานเฉพาะสำหรับการลงทุนที่เลือก สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการเจาะลึกปัจจัยที่ส่งผลต่อทั้งสองด้านของสมการ ในด้านอุปสงค์ ให้ศึกษาความต้องการของผู้บริโภค ระดับรายได้ และปัจจัยทดแทนที่เป็นไปได้ เช่น หากคุณลงทุนในเครื่องติดตามฟิตเนสตัวใหม่ ให้วิเคราะห์แนวโน้มด้านจิตสำนึกด้านสุขภาพและความพร้อมใช้งานของอุปกรณ์ออกกำลังกายทางเลือก
ดังที่เราต่างทราบกันดีว่า ไม่มีสินค้าการเงินใดที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดในทุกเวลา ความหมายของข้อความนี้สามารถอธิบายได้อย่างง่าย ๆ ด้วยกฎของอุปสงค์และอุปทาน เมื่อความต้องการของหุ้นลดลง เพราะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่เพิ่มขึ้นจูงใจการฝากเงิน ก็น่าจะเป็นเวลาทองของการช้อนซื้อหุ้นที่คุณพิจารณาแล้วว่ามีศักยภาพในการเติบโต ซึ่งไม่ยากเกินไปที่จะเริ่มต้นลงทุน ด้วยการติดตามดัชนีตลาดหุ้นผ่านการลงทุนกองทุนรวมหรือ ETF ในขณะเดียวกัน เวลาที่ดอกเบี้ยสูงเช่นนี้ อีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือราคาทองที่ถูกลง
สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าการวิเคราะห์อุปสงค์และอุปทานไม่ใช่ลูกบอลคริสตัล เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดและสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันสามารถขัดขวางตลาดได้เสมอ อย่างไรก็ตาม ด้วยการใช้เครื่องมืออันมีค่านี้ คุณสามารถตัดสินใจลงทุนโดยมีข้อมูลครบถ้วนโดยอาศัยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่ออุปสงค์ของตลาดและความสัมพันธ์ของอุปทานกับราคา สิ่งนี้ช่วยให้คุณสามารถนำทางการเปลี่ยนแปลงของตลาดด้วยความมั่นใจมากขึ้น และอาจตัดสินใจเลือกการลงทุนที่ดีกว่าในระยะยาว
ด้วยการทำความเข้าใจอุปสงค์และอุปทาน คุณจะได้รับความได้เปรียบอันทรงคุณค่าในตลาดหุ้น ร่วมมือกับ TOPONE Markets และปลดล็อคศักยภาพการลงทุนอย่างเต็มที่!
ไม่ต้องรออีกต่อไป! เปิดบัญชีเทรดฟรีวันนี้และเริ่มต้นการเดินทางการลงทุนด้วยความมั่นใจ!
บทความที่กำลังมาแรง
- CFD วิธีเทรดทองออนไลน์ ป้องกันความเสี่ยง
รอบรู้กลยุทธ์บริหารพอร์ตการลงทุน ป้องกันความเสี่ยงด้วยการลงทุนทองคำ สินทรัพย์การเงินที่อยู่คนละขั้วกับอัตราผลตอบแทนเงินฝาก เริ่มต้นที่ CFD วิธีเทรดทองออนไลน์และโลหะมีค่าอื่น ๆ
2024-05-22
TOPONE Markets Analyst - ซื้อทองตอนนี้ดีไหม รวมเรื่องต้องรู้ก่อนเริ่มเก็บสะสมทอง
ทองราคาขึ้น ซื้อทองตอนนี้ดีไหม แล้วจะซื้อทองเก็บแบบไหนดี ถ้าจะเริ่มต้นลงทุนในทอง มีคำถามมากมายเกิดขึ้นมา บทความนี้ พาทุกท่านมาเรียนรู้แง่มุมที่น่าสนใจก่อนเริ่มต้นลงทุนซื้อทองเก็บไว้เก็งราคา
2024-04-30
TOPONE Markets Analyst
ฟรี!

โบนัสเงินคืนเพื่อช่วยให้นักลงทุนเติบโตในโลกของการเทรด!

