Bond Yield คืออะไร ทำไมใคร ๆ ก็พูดถึง

เมื่อติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดการเงิน หนึ่งคำสำคัญที่เรามักได้ยินคือ Bond Yield หรืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ว่าแต่มันคืออะไร ทำไมถึงใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิงในการประมาณการผลตอบแทนการลงทุนสินทรัพย์ชนิดต่าง ๆ แล้วมันหมายถึงพันธบัตรของรัฐบาลประเทศไหนกัน

ในบทความการลงทุนของ TOPONE Markets วันนี้ เราจะเจาะลึกโลกแห่งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างอัตราดอกเบี้ย FED และ Bond Yield  ตลอดจนตรวจสอบว่าอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลงส่งผลต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอย่างไร ดังนั้นเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อปลดล็อกข้อมูลเชิงลึกมากมายที่สามารถช่วยให้คุณประมาณการผลตอบแทนการลงทุนอย่างมีข้อมูล

Bond Yield เป็นแนวคิดที่สำคัญในโลกของการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการลงทุนตราสารหนี้ กล่าวง่าย ๆ ก็คือ  Bond Yield หมายถึงผลตอบแทนการลงทุนที่เทรดเดอร์สามารถคาดหวังที่จะได้รับจากการถือครองพันธบัตรหนึ่ง ๆ จนกระทั่งครบกำหนดไถ่ถอน ซึ่งแสดงถึงรายได้ดอกเบี้ยที่เกิดจากพันธบัตรเป็นเปอร์เซ็นต์ของราคาตลาดปัจจุบัน

คำตอบอย่างตรงไปตรงมาของ Bond Yield คืออัตราผลตอบแทนการลงทุนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ  เทรดเดอร์สามารถใช้ตัวชี้วัดนี้เพื่อประเมินว่าพันธบัตรเฉพาะสอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินและการยอมรับความเสี่ยงหรือไม่ โดยทั่วไปอัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้นบ่งชี้ถึงผลตอบแทนที่เป็นไปได้มากขึ้น แต่ก็อาจมาพร้อมกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นด้วย

ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราดอกเบี้ยและ Bond Yield 

อัตราดอกเบี้ยมีบทบาทสำคัญในการกำหนด Bond Yield  กล่าวง่าย ๆ ก็คือ  Bond Yield หมายถึงผลตอบแทนการลงทุนที่คาดหวังจากการถือครองพันธบัตรในกรอบเวลาหนึ่ง ๆ (เช่น 3 ปี 5 ปี หรือ 10 ปี) เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ราคาพันธบัตรมีแนวโน้มที่จะลดลง ส่งผลให้ Bond Yield ผลตอบแทนการลงทุนสูงขึ้น

บทความที่น่สนใจ

• ดอกเบี้ย FED 101: เรื่องต้องรู้ในการแปลความดอกเบี้ย FED ล่าสุด

• FED (เฟด) คือใคร มีอิทธิพลต่อเงินเราอย่างไร

• เงินเฟ้อมีผลกระทบต่อดอลลาร์อย่างไร?

อธิบายเพิ่มเติม เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น พันธบัตรที่ออกใหม่จะให้การจ่ายคูปองที่สูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับพันธบัตรเก่าที่มีอัตราคูปองต่ำกว่า ด้วยเหตุนี้ เทรดเดอร์จึงต้องการผลตอบแทนการลงทุนที่สูงขึ้นเพื่อชดเชยต้นทุนเสียโอกาสของการไม่ลงทุนในพันธบัตรรุ่นใหม่ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า ความต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้นนี้ส่งผลให้ราคาพันธบัตรที่มีอยู่ลดลง

ในทางกลับกัน เมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลงหรือยังคงอยู่ในระดับต่ำ พันธบัตรเก่าจะมีความน่าสนใจมากขึ้นเนื่องจาก Bond Yield ยังคงน่าดึงดูด เป็นผลให้เทรดเดอร์ยินดีที่จะจ่ายค่าพรีเมียมสำหรับพันธบัตรที่มีอยู่เหล่านี้เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าพันธบัตรใหม่ที่ออกในช่วงอัตราดอกเบี้ยต่ำ

การทำความเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงของระดับอัตราดอกเบี้ยส่งผลต่อราคาพันธบัตรและผลกระทบต่ออัตราผลตอบแทนในภายหลังอย่างไร ถือเป็นความรู้ที่จำเป็นสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการเพิ่มผลตอบแทนการลงทุนสูงสุดไปพร้อม ๆ กับการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ

Bond Yield สูง ดีหรือไม่ดี

ในแง่หนึ่ง Bond Yield ที่สูงถือได้ว่าเป็นผลดีต่อเทรดเดอร์ ผลตอบแทนการลงทุนที่สูงขึ้นนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ต่างมองหา แต่ในทางกลับกัน Bond Yield ที่สูงก็อาจเป็นความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหากว่าเมื่อราคาพันธบัตรลดลง อัตราผลตอบแทนจะเพิ่มขึ้นอันเป็นผลมาจากความสัมพันธ์แบบผกผันนี้ อัตราผลตอบแทนที่สูงอาจส่งสัญญาณถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจหรือแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ซึ่งอาจทำให้เกิดความกังวลในหมู่เทรดเดอร์

Bond Yield ที่สูงจะดีหรือไม่ดีนั้นขึ้นอยู่กับเป้าหมายและการยอมรับความเสี่ยงของเทรดเดอร์แต่ละราย เทรดเดอร์บางรายอาจมองว่าผลตอบแทนที่สูงเป็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น ในขณะที่คนอื่น ๆ อาจมองว่าเป็นสัญญาณของความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น และชอบการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีแสดงถึงผลตอบแทนที่เทรดเดอร์จะได้รับจากการถือพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีของสหรัฐฯ จนกว่าจะครบกำหนด สะท้อนถึงความคาดหวังของตลาดเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยและภาวะเศรษฐกิจในอนาคต ในการคำนวณผลตอบแทนการลงทุนนี้ คุณต้องมีข้อมูลสำคัญสองส่วน ได้แก่ ราคาปัจจุบันของพันธบัตรและการชำระผลตอบแทนรายปี

ตรวจสอบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล อายุ 10 ปีที่นี่

สูตรในการคำนวณ Bond Yield

อัตราผลตอบแทน = ($50 / $900) x 100% = 5.56%

เมื่อสภาวะตลาดเปลี่ยนแปลง ราคาพันธบัตรก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย ซึ่งจะส่งผลต่ออัตราผลตอบแทนการลงทุนด้วย เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น พันธบัตรที่มีอยู่ซึ่งมีอัตราผลตอบแทนต่ำกว่าจะมีความน่าสนใจน้อยลงเมื่อเปรียบเทียบกับพันธบัตรที่ออกใหม่ซึ่งมีอัตราผลตอบแทนสูงกว่า

เศรษฐกิจโลกเป็นระบบที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงถึงกันซึ่งได้รับอิทธิพลจากปัจจัยต่าง ๆ ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เกิดการเติบโตหรือการหดตัวทางเศรษฐกิจคืออัตราดอกเบี้ย โดยเฉพาะของสหรัฐฯ เมื่ออัตราดอกเบี้ย FED เปลี่ยนแปลงอาจส่งผลกระทบในวงกว้างต่อเศรษฐกิจทั่วโลก

การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยอาจส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายและการกู้ยืมของผู้บริโภค อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงส่งเสริมการกู้ยืมและเพิ่มรายได้ที่ใช้แล้วทิ้ง นำไปสู่ระดับการบริโภคที่สูงขึ้น ความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้สามารถกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจได้เนื่องจากธุรกิจต่าง ๆ ตอบสนองโดยการเพิ่มการผลิตและจ้างพนักงานเพิ่มขึ้น

ในทางกลับกัน อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นมีแนวโน้มที่จะลดการใช้จ่ายและการกู้ยืมของผู้บริโภค เนื่องจากทำให้ต้นทุนการกู้ยืมมีราคาแพง ดังนั้นความต้องการที่ลดลงนี้อาจนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช้าลงหรือแม้กระทั่งภาวะถดถอยหากรวมกับปัจจัยลบอื่น ๆ

ในภูมิทัศน์ทางการเงินที่มีพลวัตในปัจจุบัน เทรดเดอร์ต่างแสวงหาวิธีการใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อจัดการความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทนให้สูงสุด วิธีหนึ่งดังกล่าวคือการเทรด Contract for Differece หรือ CFD ซึ่งเป็นเครื่องมือการเทรดยอดนิยมที่ช่วยให้คุณสามารถผลตอบแทนการลงทุนผ่านการเก็งกำไรราคาของสินทรัพย์ต่าง ๆ รวมถึง Bond Yield นี้ด้วย

CFD มอบโอกาสพิเศษสำหรับเทรดเดอร์ในการใช้ประโยชน์จากความผันผวนของ Bond Yield โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์อ้างอิงจริง ๆ เมื่อทำสัญญากับโบรกเกอร์ CFD เทรดเดอร์สามารถทำกำไรจาก Bond Yield ทั้งขาขึ้นและขาลงโดยการเก็งกำไรจากผลการดำเนินงานในอนาคต

การจะจัดการกับความซับซ้อนของ Bond Yield สหรัฐฯ ได้สำเร็จนั้นต้องอาศัยความรู้และการวิเคราะห์อย่างรอบคอบ ด้วยการทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างอัตราดอกเบี้ยและราคาพันธบัตรและจับตาดูตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อตลาดโลก เทรดเดอร์ที่เชี่ยวชาญสามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลรอบด้านเพื่อเพิ่มผลตอบแทนการลงทุนสูงสุดในขณะที่จัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเป็นเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์หรือเพิ่งเริ่มต้นเส้นทางทางการเงิน การไขความลับเบื้องหลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จะช่วยให้คุณก้าวนำหน้าในตลาดที่มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลาอย่างไม่ต้องสงสัย

เทรด หุ้นสหรัฐฯ/หุ้นฮ่องกง/หุ้นไต้หวัน ฯลฯ แบบออนไลน์ หุ้นที่ติดเทรนด์ทั่วโลก

เริ่มการเทรดเลยตอนนี้ >

ลูกค้าใหม่สามารถรับรางวัลมูลค่า 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ!

เมื่อติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดการเงิน หนึ่งคำสำคัญที่เรามักได้ยินคือ Bond Yield หรืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ว่าแต่มันคืออะไร ทำไมถึงใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิงในการประมาณการผลตอบแทนการลงทุนสินทรัพย์ชนิดต่าง ๆ แล้วมันหมายถึงพันธบัตรของรัฐบาลประเทศไหนกัน

ในบทความการลงทุนของ TOPONE Markets วันนี้ เราจะเจาะลึกโลกแห่งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างอัตราดอกเบี้ย FED และ Bond Yield  ตลอดจนตรวจสอบว่าอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลงส่งผลต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอย่างไร ดังนั้นเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อปลดล็อกข้อมูลเชิงลึกมากมายที่สามารถช่วยให้คุณประมาณการผลตอบแทนการลงทุนอย่างมีข้อมูล

Bond Yield เป็นแนวคิดที่สำคัญในโลกของการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการลงทุนตราสารหนี้ กล่าวง่าย ๆ ก็คือ  Bond Yield หมายถึงผลตอบแทนการลงทุนที่เทรดเดอร์สามารถคาดหวังที่จะได้รับจากการถือครองพันธบัตรหนึ่ง ๆ จนกระทั่งครบกำหนดไถ่ถอน ซึ่งแสดงถึงรายได้ดอกเบี้ยที่เกิดจากพันธบัตรเป็นเปอร์เซ็นต์ของราคาตลาดปัจจุบัน

คำตอบอย่างตรงไปตรงมาของ Bond Yield คืออัตราผลตอบแทนการลงทุนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ  เทรดเดอร์สามารถใช้ตัวชี้วัดนี้เพื่อประเมินว่าพันธบัตรเฉพาะสอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินและการยอมรับความเสี่ยงหรือไม่ โดยทั่วไปอัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้นบ่งชี้ถึงผลตอบแทนที่เป็นไปได้มากขึ้น แต่ก็อาจมาพร้อมกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นด้วย

ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราดอกเบี้ยและ Bond Yield 

อัตราดอกเบี้ยมีบทบาทสำคัญในการกำหนด Bond Yield  กล่าวง่าย ๆ ก็คือ  Bond Yield หมายถึงผลตอบแทนการลงทุนที่คาดหวังจากการถือครองพันธบัตรในกรอบเวลาหนึ่ง ๆ (เช่น 3 ปี 5 ปี หรือ 10 ปี) เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ราคาพันธบัตรมีแนวโน้มที่จะลดลง ส่งผลให้ Bond Yield ผลตอบแทนการลงทุนสูงขึ้น

บทความที่น่สนใจ

• ดอกเบี้ย FED 101: เรื่องต้องรู้ในการแปลความดอกเบี้ย FED ล่าสุด

• FED (เฟด) คือใคร มีอิทธิพลต่อเงินเราอย่างไร

• เงินเฟ้อมีผลกระทบต่อดอลลาร์อย่างไร?

อธิบายเพิ่มเติม เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น พันธบัตรที่ออกใหม่จะให้การจ่ายคูปองที่สูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับพันธบัตรเก่าที่มีอัตราคูปองต่ำกว่า ด้วยเหตุนี้ เทรดเดอร์จึงต้องการผลตอบแทนการลงทุนที่สูงขึ้นเพื่อชดเชยต้นทุนเสียโอกาสของการไม่ลงทุนในพันธบัตรรุ่นใหม่ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า ความต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้นนี้ส่งผลให้ราคาพันธบัตรที่มีอยู่ลดลง

ในทางกลับกัน เมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลงหรือยังคงอยู่ในระดับต่ำ พันธบัตรเก่าจะมีความน่าสนใจมากขึ้นเนื่องจาก Bond Yield ยังคงน่าดึงดูด เป็นผลให้เทรดเดอร์ยินดีที่จะจ่ายค่าพรีเมียมสำหรับพันธบัตรที่มีอยู่เหล่านี้เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าพันธบัตรใหม่ที่ออกในช่วงอัตราดอกเบี้ยต่ำ

การทำความเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงของระดับอัตราดอกเบี้ยส่งผลต่อราคาพันธบัตรและผลกระทบต่ออัตราผลตอบแทนในภายหลังอย่างไร ถือเป็นความรู้ที่จำเป็นสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการเพิ่มผลตอบแทนการลงทุนสูงสุดไปพร้อม ๆ กับการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ

Bond Yield สูง ดีหรือไม่ดี

ในแง่หนึ่ง Bond Yield ที่สูงถือได้ว่าเป็นผลดีต่อเทรดเดอร์ ผลตอบแทนการลงทุนที่สูงขึ้นนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ต่างมองหา แต่ในทางกลับกัน Bond Yield ที่สูงก็อาจเป็นความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหากว่าเมื่อราคาพันธบัตรลดลง อัตราผลตอบแทนจะเพิ่มขึ้นอันเป็นผลมาจากความสัมพันธ์แบบผกผันนี้ อัตราผลตอบแทนที่สูงอาจส่งสัญญาณถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจหรือแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ซึ่งอาจทำให้เกิดความกังวลในหมู่เทรดเดอร์

Bond Yield ที่สูงจะดีหรือไม่ดีนั้นขึ้นอยู่กับเป้าหมายและการยอมรับความเสี่ยงของเทรดเดอร์แต่ละราย เทรดเดอร์บางรายอาจมองว่าผลตอบแทนที่สูงเป็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น ในขณะที่คนอื่น ๆ อาจมองว่าเป็นสัญญาณของความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น และชอบการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีแสดงถึงผลตอบแทนที่เทรดเดอร์จะได้รับจากการถือพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีของสหรัฐฯ จนกว่าจะครบกำหนด สะท้อนถึงความคาดหวังของตลาดเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยและภาวะเศรษฐกิจในอนาคต ในการคำนวณผลตอบแทนการลงทุนนี้ คุณต้องมีข้อมูลสำคัญสองส่วน ได้แก่ ราคาปัจจุบันของพันธบัตรและการชำระผลตอบแทนรายปี

ตรวจสอบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล อายุ 10 ปีที่นี่

สูตรในการคำนวณ Bond Yield

อัตราผลตอบแทน = ($50 / $900) x 100% = 5.56%

เมื่อสภาวะตลาดเปลี่ยนแปลง ราคาพันธบัตรก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย ซึ่งจะส่งผลต่ออัตราผลตอบแทนการลงทุนด้วย เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น พันธบัตรที่มีอยู่ซึ่งมีอัตราผลตอบแทนต่ำกว่าจะมีความน่าสนใจน้อยลงเมื่อเปรียบเทียบกับพันธบัตรที่ออกใหม่ซึ่งมีอัตราผลตอบแทนสูงกว่า

เศรษฐกิจโลกเป็นระบบที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงถึงกันซึ่งได้รับอิทธิพลจากปัจจัยต่าง ๆ ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เกิดการเติบโตหรือการหดตัวทางเศรษฐกิจคืออัตราดอกเบี้ย โดยเฉพาะของสหรัฐฯ เมื่ออัตราดอกเบี้ย FED เปลี่ยนแปลงอาจส่งผลกระทบในวงกว้างต่อเศรษฐกิจทั่วโลก

การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยอาจส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายและการกู้ยืมของผู้บริโภค อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงส่งเสริมการกู้ยืมและเพิ่มรายได้ที่ใช้แล้วทิ้ง นำไปสู่ระดับการบริโภคที่สูงขึ้น ความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้สามารถกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจได้เนื่องจากธุรกิจต่าง ๆ ตอบสนองโดยการเพิ่มการผลิตและจ้างพนักงานเพิ่มขึ้น

ในทางกลับกัน อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นมีแนวโน้มที่จะลดการใช้จ่ายและการกู้ยืมของผู้บริโภค เนื่องจากทำให้ต้นทุนการกู้ยืมมีราคาแพง ดังนั้นความต้องการที่ลดลงนี้อาจนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช้าลงหรือแม้กระทั่งภาวะถดถอยหากรวมกับปัจจัยลบอื่น ๆ

ในภูมิทัศน์ทางการเงินที่มีพลวัตในปัจจุบัน เทรดเดอร์ต่างแสวงหาวิธีการใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อจัดการความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทนให้สูงสุด วิธีหนึ่งดังกล่าวคือการเทรด Contract for Differece หรือ CFD ซึ่งเป็นเครื่องมือการเทรดยอดนิยมที่ช่วยให้คุณสามารถผลตอบแทนการลงทุนผ่านการเก็งกำไรราคาของสินทรัพย์ต่าง ๆ รวมถึง Bond Yield นี้ด้วย

CFD มอบโอกาสพิเศษสำหรับเทรดเดอร์ในการใช้ประโยชน์จากความผันผวนของ Bond Yield โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์อ้างอิงจริง ๆ เมื่อทำสัญญากับโบรกเกอร์ CFD เทรดเดอร์สามารถทำกำไรจาก Bond Yield ทั้งขาขึ้นและขาลงโดยการเก็งกำไรจากผลการดำเนินงานในอนาคต

การจะจัดการกับความซับซ้อนของ Bond Yield สหรัฐฯ ได้สำเร็จนั้นต้องอาศัยความรู้และการวิเคราะห์อย่างรอบคอบ ด้วยการทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างอัตราดอกเบี้ยและราคาพันธบัตรและจับตาดูตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อตลาดโลก เทรดเดอร์ที่เชี่ยวชาญสามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลรอบด้านเพื่อเพิ่มผลตอบแทนการลงทุนสูงสุดในขณะที่จัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเป็นเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์หรือเพิ่งเริ่มต้นเส้นทางทางการเงิน การไขความลับเบื้องหลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จะช่วยให้คุณก้าวนำหน้าในตลาดที่มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลาอย่างไม่ต้องสงสัย

เทรด หุ้นสหรัฐฯ/หุ้นฮ่องกง/หุ้นไต้หวัน ฯลฯ แบบออนไลน์ หุ้นที่ติดเทรนด์ทั่วโลก

เริ่มการเทรดเลยตอนนี้ >

ลูกค้าใหม่สามารถรับรางวัลมูลค่า 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ!