เราใช้คุกกี้เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่คุณใช้เว็บไซต์ของเรา และสิ่งที่เราสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้น คลิก "ยอมรับ" เพื่อใช้เว็บไซต์ของเราต่อไป รายละเอียด
เจาะลึกตลาด หุ้น EBITDA ชี้หุ้นถูกเพื่อผลตอบแทนดี

EBITDA ชี้หุ้นถูกเพื่อผลตอบแทนดี

EBITDA ในหน้างบกำไรขาดทุนชี้ถึงความสามารถในการทำกำไร ซึ่งสามารถนำมาวิเคราะห์พื้นฐานหุ้นผ่านสูตรสัดส่วนทางการเงิน ทำให้เปรียบเทียบการดำเนินงานระหว่างปีและระหว่างบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน เลือกหุ้นถูกเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดี

อวตารผู้เขียน
TOPONE Markets Analyst 2022-10-13
ไอคอนรูปตา 612

ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทหนึ่ง ๆ สะท้อนออกมาผ่านตัวเลขทางบัญชีในหน้างบกำไรขาดทุน (Profit-Loss Statement) โดยหนึ่งประเภทกำไรที่น่าสนใจคือ EBITDA ซึ่งนิยมนำมาใช้วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) เพื่อการลงทุนเชิงคุณค่าในหมู่นักลงทุน 

EBITDA คืออะไร

EBITDA คือ รายรับหรือกำไรของบริษัทหลังหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ (Operating Expense) และหักค่าเสื่อมราคา (Depreciation) และค่าตัดจำหน่าย (Amotization) แล้ว เป็นรายได้ของบริษัทก่อนจะนำไปรวมหรือหักดอกเบี้ยของบริษัทกับหักภาษีออก 


EBITDA ย่อมาจาก Earning Before Interest, Tax, Depreciation, and Amortization ซึ่งก็คือควรเป็นกำไรที่เป็นเงินสดของบริษัทจริง ๆ


ข้อแตกต่างระหว่าง “EBIT” กับ “EBITDA” คืออะไร

EBIT (Earning Before Interest and Tax) จะเป็นรายรับหรือกำไรของบริษัทหลังหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินการซึ่งรวมไปถึงค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายแล้วด้วย ซึ่งจะยังไม่สะท้อนเงินสดที่บริษัทเหลือไปใช้จ่ายเพื่อชำระดอกเบี้ยแก่เจ้าหนี้หรือนำไปจ่ายภาษีจริง ๆ โดยค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเป็นเพียงมูลค่าที่ใช้ปรับค่าทางบัญชีเพื่อสะท้อนถึงมูลค่าของสินทรัพย์ที่เสื่อมลงเพราะการใช้งานหรืออายุการใช้งาน ไม่ใช่รายการค่าใช้จ่ายจริง ๆ 


ในแง่ของโครงสร้างการคำนวณตัวเลขออกมา เห็นชัดแล้วว่า EBIT กับ EBITDA ต่างกันอย่างไร


หากดูผลดำเนินงานของบริษัทจาก EBIT ในกรณีที่บริษัทเป็นผู้ผลิตเพื่อจำหน่ายและมีสินทรัพย์ระยะยาวมูลค่าสูง ก็จะทำให้มองความสามารถในการทำกำไรของบริษัทผิดเพี้ยนไปได้เพราะหักลบตัวเลขค่าเสื่อมราคาหรือค่าตัดจำหน่ายที่อาจจะสูงเกินไป 


เพราะฉะนั้น เมื่อต้องการตอบคำถามเรื่องความสามารถในการทำกำไรของบริษัท ค่า EBITDA จึงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าที่จะหยิบยกมาใช้อ้างอิง หรือนำไปคำนวณสัดส่วนทางการเงิน (Financial Ratio) ต่อเพื่อแสดงตัวเลขที่จะสะท้อนการดำเนินการของบริษัทโดยเปรียบเทียบระหว่างปี หรือโดยเปรียบเทียบระหว่างบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันได้กระจ่างกว่า

สูตรการคำนวณ EBITDA

สูตร EBITDA คือ


EBITDA = Sales - Cost of Good Sold - Operating Expense + Depreciation + Amortization


โดย


Sales คือ ยอดขายสินค้า


Cost of Good Sold คือ ต้นทุนในการผลิตสินค้าออกมาขาย 


Operating Expense คือ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ทั้งการจ้างคน การโฆษณาประชาสัมพันธ์ ต้นทุนทางการตลาด เงินที่ชำระเป็นค่าวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เพื่อสนับสนุนกิจกรรมการผลิตและขายสินค้า


Depreciation คือ ค่าเสื่อมราคา เป็นมูลค่าทางบัญชีที่ตั้งขึ้น เพื่อสะท้อนว่าสินทรัพย์ระยะยาวด้อยมูลค่าลงเพราะมีการใช้งานลงไป หรือมีสภาพที่หากขายทิ้งแล้วจะถูกตีมูลค่าต่ำกว่าเดิม ทั้งนี้มูลค่าตัวนี้มีเพื่อปรับมูลค่าของสินทรัพย์ในหน้าบัญชีงบดุล (งบแสดงสถานะทางการเงิน)


Amortization คือ ค่าตัดจำหน่าย สะท้อนถึงมูลค่าลิขสิทธิ์หรือสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตนแต่มีมูลค่าในความครอบครองของบริษัทที่มีมูลค่าลดลงระหว่างปี บริษัทมีการคำนวณต้นทุนตัวนี้เป็นค่าใช้จ่ายเพื่อจะปรับมูลค่าสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ แต่ที่มาของแนวคิดเรื่องค่าตัดจำหน่ายมาจากตรรกะเดียวกับค่าเสื่อมราคา เนื่องจากสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตนมีทั้งข้อกำหนดทางกฎหมายให้สิ้นสุดอายุการครอบครองและตกเป็นของสาธารณะ รวมถึงการไม่สามารถสร้างมูลค่าได้อีกต่อไปจากการพัฒนาของเทคโนโลยีและนวัตกรรมอื่น ๆ อย่างต่อเนื่องในภาคอุตสาหกรรมเดียวกันหรือโดยรวม


หรือสูตรที่ 2 สำหรับคำนวณ EBITDA คือ


EBITDA = Net Income + Taxes + Interest + Depreciation + Amortization


จะใช้สูตรแรกหรือสูตรที่สอง ขึ้นอยู่กับว่าจะเริ่มมองที่กำไรสุทธิหรือกำไรต่อปี (Net Income) หรือมองที่ยอดขาย (Sales) เพื่อคำนวณหา EBITDA


สูตร “EBIT” ต่างจากสูตร “EBITDA” คือ…

สูตร EBIT คือสูตร


EBIT = Sales - Cost of Good Sold - Operating Expense


หรือ  = Net Income + Taxes + Interest


โดย Operating Expense คือค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่ปกติจะรวมตัวเลขค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเอาไว้แล้ว เพราะนอกเหนือจากความจำเป็นต้องปรับมูลค่าสินทรัพย์ลงโดยการลงบันทึกเสมือนเป็นรายจ่ายดังที่กล่าวไป บริษัทยังมุ่งเป้าที่ผลประโยชน์ทางภาษี ซึ่งยิ่งค่าใช้จ่ายในการดำเนินการมาก จะทำให้มีฐานรายได้คำนวณภาษีที่ต่ำลงด้วย เพื่อให้บริษัทเสียภาษีน้อยลงและเหลือรายได้สุทธิเพิ่มขึ้น


ดังนั้นในรายการทางบัญชีใด ๆ เมื่อพบตัวเลข EBIT  หากจำเป็นต้องหาค่า EBITDA ด้วยตนเอง นักลงทุนจึงจำเป็นต้องระบุค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายให้ได้ และนำมาบวกไปที่ตัวเลข EBIT


หา Depreciation และ Amotization เพื่อปรับ EBIT เป็น EBITDA 


งบกำไรขาดทุนของหลาย ๆ บริษัททั้งในประเทศไทยและบริษัทต่างชาติ อาจไม่แสดงค่า EBITDA หรือไม่มีการสรุป EBITDA ไว้ให้ในหน้าบทสรุปสถานะทางการเงิน แต่มีเพียงแค่ตัวเลข EBIT ให้เป็นที่สังเกตได้ก่อนรายการชำระหรือรับดอกเบี้ย ซึ่งนั่นหมายความว่าจะต้องปรับ EBIT เป็น EBITDA เองหากต้องการนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจในการลงทุน


การหาค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย สามารถอ้างอิงจากงบกระแสเงินสด (Cash Flow Statement) โดยตัวเลขทั้งสองที่นำมาใช้อ้างอิงได้จะแสดงค่าเป็นบวก จะต้องนำตัวเลขทั้งสองมาบวกกับ EBIT จึงจะสรุป EBITDA ออกมา 


ประโยชน์จากการวิเคราะห์ EBITDA เบื้องต้น


วิเคราะห์ EBITDA เบื้องต้นโดยการเปรียบเทียบกับผลรวมค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ควรจะมีค่า EBITDA ที่มากกว่า แต่หากพบว่ามีค่าน้อยกว่า จะชี้ว่าบริษัทมีแนวโน้มขาดสภาพคล่องที่รุนแรง เพราะขณะที่กำไรจากการดำเนินการต่ำ การเสื่อมมูลค่าของสินทรัพย์กลับเพิ่มสูงกว่า จะทำให้อธิบายต่อได้ว่าบริษัทไม่มีความสามารถในการทำกำไร และไม่มีเงินชำระดอกเบี้ย ผลลัพธ์ในกรณีร้ายแรงที่สุด บริษัทอาจจะต้องขอปรับโครงสร้างหรือยื่นขอล้มละลาย


นอกจากนั้น สามารถเปรียบเทียบ EBITDA ระหว่างปี โดยนำค่า EBITDA ในปีล่าสุดมาหารผลรวมของค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายในปีเดียวกัน จากนั้นสำหรับปีอื่น ๆ ให้คำนวณแบบเดียวกัน ถ้าพบว่าตัวเลขปีไหนมีสัดส่วนที่มากขึ้นหรือมากกว่า เท่ากับปีนั้นมีการบริหารทรัพย์สินเพื่อสร้างผลกำไรได้ดี 

สูตรคำนวณ Financial Ratio ที่ใช้ EBITDA

ในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เน้นการนำตัวเลขต่าง ๆ ที่ได้จากรายงานทางบัญชีมาเทียบสัดส่วน การเปรียบเทียบ EBITDA และผลรวมระหว่างค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่ายดังที่กล่าวไป ก็เข้าเกณฑ์ แต่การใช้ EBITDA ในสูตรการคำนวณ Financial Ratio หลัก ๆ ที่รู้จักกันในวงการวิเคราะห์พื้นฐานหุ้น สามารถแบ่งเป็น

EBITDA to Sale Ratio หรือ EBITDA Margin

คำนวณโดยนำ EBITDA มาหารด้วยยอดขาย (Sale หรือ Net Sale) จะทำให้สามารถอ่านค่าออกมาว่า ทุก ๆ 1 หน่วยเงินของการขาย เช่น ทุก ๆ บาท จะมีกำไรหลังหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่เป็นตัวเงิน โดยไม่นับรวมการหักลดค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่เท่าไร อย่างถ้าคำนวณได้ 0.5 ซึ่งเท่ากับ 50% ก็คือทุก 1 บาท มีกำไรเป็นเงินจริงหลังหักต้นทุนการดำเนินงาน 0.50 บาท หรืออีกนัยหนึ่งคือทุก 100 บาท มีกำไรเงินสด 50 บาท

EBITDA coverage 

คำนวณโดยนำ EBITDA มาหารด้วยดอกเบี้ยจ่าย (Interest Expense) ได้ค่ายิ่งมากก็ยิ่งแสดงถึงความสามารถในการหารายได้มามากกว่าภาระค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจากหนี้สิน และมีแนวโน้มสูงว่าบริษัทพึ่งพาแหล่งทุนที่ไม่ใช่การกู้ยืม แสดงว่าบริษัทมีความมั่นคงในการเงินในระดับที่น่าวางใจ

Enterprise Value Per EBITDA หรือ EV/EBITDA 

คำนวณโดยนำมูลค่าทางตลาดของบริษัทเมื่อหักลบหนี้ทางการเงิน (EV; Enterprise Value) มาหารด้วย EBITDA หรือเขียนสรุปสูตร [(Share Price x Share Number) - Debt] / EBITDA ค่าที่ได้จะทำให้เห็นกำไรของบริษัทที่เป็นเงินจริงต่อหุ้น เป็นตัวเลขที่เหมาะนำไปเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกันที่สุด เพราะจะช่วยระบุว่าหุ้นมีราคาถูกหรือแพง ด้วยนัยยะว่าบริษัทแต่ละแห่งมีโอกาสชำระปันผลต่อหุ้นมากหรือน้อยต่อหุ้นโดยเปรียบเทียบ ค่า EV/EBITDA ยิ่งน้อย หุ้นนั้นยิ่งถูก เพราะแสดงว่าบริษัทมีโอกาสจ่ายปันผลต่อหุ้นมาก หรือบริษัทนั้นมีสินทรัพย์น้อยแตสามารถทำกำไรได้มาก แต่ไม่ใช้ค่า EV/EBITDA ที่ติดลบ เพราะค่าติดลบแสดงว่าบริษัทไม่มีกำไร หรือบริษัทนั้นไม่ควรอยู่ในการพิจารณาเพื่อลงทุนในช่วงปีที่ให้ค่าดังกล่าว

ข้อควรระวังในการใช้ EBITDA ในการวิเคราะห์พื้นฐานหุ้น

ในการวิเคราะห์พื้นฐานหุ้น ไม่สามารถใช้ตัวเลขทางบัญชีเพียงตัวเดียวเพื่อการวิเคราะห์สัดส่วนทางการเงินและตีความสถานภาพการดำเนินงานและการเงินของบริษัทได้สมบูรณ์แบบ เพราะตัวเลขแต่ละตัวมักมีข้อโต้แย้งในเรื่องที่มา ทำให้ต้องการข้อมูลตัวอื่นมาสนับสนุนเพิ่มเติมในการตัดสินใจเสมอ



กรณีของ EBITDA มีข้อควรระวังจากข้อเท็จจริงดังนี้

  • EBITDA เป็นตัวเลขที่สามารถปรับแต่งได้ แม้ว่าเราจะคาดหวังว่าบริษัทจะต้องรายงานตัวเลขทางบัญชีที่สะท้อนสถานภาพทางการเงินออกมา แต่การกำหนดราคาต้นทุนเป็นนโยบายของบริษัท เป็นรายละเอียดที่ปรับแต่งได้ในกรอบของกฎหมายโดยไม่ถือว่าเป็นการรายงานเท็จ เพื่อให้คำนวณ EBITDA ออกมา ซึ่งอาจทำให้ค่า EBITDA ไม่ส่งสัญญาณเตือนค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น หรือการขาดทุนในปีที่ความเสี่ยงของบริษัทเริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว

  • EBITDA ไม่ได้คำนึงถึงระดับเงินทุนหมุนเวียนที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่ค่าที่ชี้ถึงสภาพคล่องได้เลย การมีค่า EBITDA เป็นบวกมากที่แปลว่ามีกำไรสูง ไม่ได้แปลว่าบริษัทมีสภาพคล่องหรือมีเงินสดที่พร้อมชำระหนี้ ในความเป็นจริงยังเป็นไปได้อยู่ดีว่ากำไรที่มากอยู่ในรูปที่ไม่ใช่เงินสดและอาจมีความยากในการแปลงเป็นเงินสดที่ทำให้ภายหลังบริษัทจะประสบปัญหาเรื่องการชำระดอกเบี้ยได้อยู่ดี

  • EBITDA อาจสะท้อนกำไรที่มากเกินจริง เพราะวิธีการคำนวณค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย โดยค่าทั้งสองเป็นแค่เพียงมูลค่าที่ใช้ปรับมูลค่าสินทรัพย์ทางธุรกิจ การบวกกลับเข้าไปเป็นวิธีการหนึ่งที่เป็นไปเพื่อทำให้เข้าใจกระแสเงินสดของบริษัทตามจริงว่าค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไม่ได้เป็นการจ่ายจริง แต่การรายงานกำไรของบริษัท มูลค่าพวกนี้ก็อาจไม่ใช่กำไรที่เป็นตัวเงินเช่นกัน ด้วยเป็นมูลค่าลดทอนที่สร้างขึ้นมาลดทอนมูลค่าสินทรัพย์ และถูกกำหนดให้เป็นรายจ่ายไปลดฐานรายได้ประเมินภาษี ดังนั้น EBITDA อาจจะให้ภาพรายได้ของบริษัทมากกว่าที่เป็นจริงถ้าวิธีการประเมินค่าเสื่อมราคาที่บริษัทเลือกใช้เน้นนำเสนอมูลค่าที่สูงเพื่อประโยชน์ทางภาษีมาตั้งแต่แรก 

สรุป: EBITDA เท่าไรถึงจะดี

EBITDA ควรมีค่าสูงกว่าดอกเบี้ยจ่ายและภาษี นั่นจะทำให้คำนวณหาค่ากำไรต่อปีหรือกำไรสุทธิเป็นบวก และหากนำไปคำนวณค่าสัดส่วนทางการเงิน ค่า EBITDA จะน้อยกว่ารายได้จากการขายเป็นปกติ แต่โดยเปรียบเทียบค่า EBITDA กับยอดขายระหว่างบริษัท ควรเลือกลงทุนในบริษัทที่แสดงค่าสัดส่วนที่สูงกว่า โดยยิ่งค่า EBITDA สูงกว่าดอกเบี้ยจ่ายหลายเท่าก็ยิ่งดี 


ขณะเดียวกันถ้าเปรียบเทียบ EV/EBITDA ระหว่างบริษัทแล้ว บริษัทที่มีค่า EB/EBITDA น้อยกว่าบริษัทอื่น ๆ ก็ถึงว่ามีความคุ้มค่าในการลงทุนเพราะถือว่าถูกกว่าโดยเปรียบเทียบ

  • ไอคอนแชร์ Facebook
  • ไอคอนแชร์ X
  • ไอคอนแชร์ Instagram

บทความที่กำลังมาแรง

  • 5 เรื่องต้องรู้ หุ้นเทค AI มูฟไปกับเทรนด์โลก

    ลงทุนต้องตามเทรนด์ หุ้น AI ทํางานหนักให้กับหลากอุตสาหกรรมรอบโลก มาเรียนรู้ 5 บทบาทของ AI ในธุรกิจต่าง ๆ และคว้าโอกาสของการเติบโตตามเทรนด์โลกไปกับหุ้น AI ต่างประเทศ

    อวตารผู้เขียน TOPONE Markets Analyst
    2024-10-29
  • ส่อง 5 หุ้นดังสปอนเซอร์โอลิมปิก ปารีส 2024

    เกาะกระแสปารีสโอลิมปิก 2024 เฟ้นหาหุ้นน่าลงทุนระยะสั้นจากสปอนเซอร์หลักโอลิมปิกที่น่าจับตา สร้างพอร์ตการเล่นหุ้นระยะสั้นด้วยการเทรด CFD

    อวตารผู้เขียน TOPONE Markets Analyst
    2024-08-07
  • 25 คนที่รวยที่สุดในโลกในปี 2023

    เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว คนที่รวยที่สุด 25 คนนี้ยากจนกว่าปีที่แล้วถึง 200 พันล้านดอลลาร์ แต่ก็ยังมีมูลค่า 2.1 ล้านล้านดอลลาร์

    อวตารผู้เขียน TOPONE Markets Analyst
    2024-01-30
  • รู้เวลาเปิด - ปิดตลาดหุ้นไทย วางแผนการเทรดอย่างโปร

    รอบรู้เวลาเปิดและปิดทำการของตลาดหุ้นไทย เพื่อให้วางแผนการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเหนือชั้นกว่ากับการเทรด CFD ที่ทำได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ขึ้นกับเวลาเปิด-ปิดของตลาดหุ้น

    อวตารผู้เขียน TOPONE Markets Analyst
    2023-11-15
รูปโปรโมชันในบทความ
โอกาสทองรออยู่! กระโจนเข้ามา!พร้อมรับโบนัส $100 ฟรี!
ทองคำ ทองคำ

โบนัสเงินคืนเพื่อช่วยให้นักลงทุนเติบโตในโลกของการเทรด!

ต้นทุนและค่าธรรมเนียมการเทรดเดโม

คุณต้องการความช่วยเหลือหรือไม่?

7×24 H

ดาวน์โหลดแอป
ไอคอนการให้คะแนน

ดาวน์โหลดแอป ฟรีเลย