มีรายได้? อย่าลืมลดหย่อนภาษี

หลังจากทำงานกันมาทั้งปี เมื่อถือช่วงปลายปีราวเดือนธันวาคม มนุษย์เงินเดือนและคนทำงานหลาย ๆ คนต่างก็สาละวนอยู่กับการจัดการภาษี บางคนยังไม่ทราบเลยว่าในปีที่ผ่านมาตนเองมีรายได้เท่าไร จะต้องเสียภาษีเท่าไร จึงมองข้ามเรื่องของการลดหย่อนภาษี (Tax Deduction) ไป และมองว่าการเสียภาษีเป็นหน้าที่ที่ไม่สามารถจัดการอะไรได้เลย

หากได้ลองคิดดูดี ๆ อีกครั้ง จะเห็นว่าคุณสามารถประหยัดภาษีได้อีกจำนวนมากจากการลดหย่อนภาษีตามเงื่อนไขที่เข้ากับตนเองในปีภาษีนั้น อันดับแรก จะเป็นอะไรไปไม่ได้เลยนอกเสียจากการรับรู้ถึงสภาพปัจจุบัน ซึ่งก็คือในปีภาษีนั้น คุณมีรายได้รวม (รายได้สุทธิ) เท่าไร แล้วจะลดหย่อนอะไรไรได้บ้าง เพื่อให้สามารถประหยัดภาษีให้ได้มากที่สุด

ในบทความนี้ จะพาทุกท่านมาดูกันว่าในฐานะคนทำงานมีรายได้ คุณสามารถลดหย่อนภาษีอย่างไรได้บ้างและมีเรื่องอะไรที่จะต้องนึกถึงในการยื่นลดหย่อนภาษีบ้าง

วางแผนลดหย่อนภาษีอย่างไรดี

ไม่มีอะไรดีไปกว่าการวางแผนล่วงหน้า ว่ากันว่าหน่วยงานราชการที่คนไทยไม่อยากติดต่อด้วยมากที่สุดก็คือ “สรรพากร” หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ดังนั้นเพื่อลดภาระปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต เราจึงควรวางแผนภาษี ตรวจสอบค่าลดหย่อนภาษีดีกว่า เพื่อที่จะได้มีเงินเหลือไปใช้ในการลงทุนสร้างรายได้ต่อไป

ถ้ายังไม่รู้ว่าจะลงทุนอะไรดี ลองอ่านดูที่นี่

ประเมินรายได้ประจำปี

ไม่ว่าคุณจะทำงานหนึ่งที่หรือมากกว่า ให้คุณประมาณการณ์รายได้ประจำปีภาษีนั้นออกมา รายได้นั้น จะต้องรวมถึงโบนัส ค่าล่วงเวลาที่คุณได้รับรวมในเดือนหนึ่ง ๆ ตามมาตรา 40 (1) 

เงินได้ตามมาตรตรา 40 (1) หรือประเภทที่ 1 ประกอบด้วย

• เงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยง โบนัส เบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ

• เงินค่าเช่าบ้านที่ได้รับจากนายจ้าง

• เงินที่คำนวณได้จากมูลค่าของการได้อยู่บ้าน ซึ่งนายจ้างให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่า

• เงินที่นายจ้างจ่ายชำระหนี้ใด ๆ ซึ่งลูกจ้างมีหน้าที่ต้องชำระ

• เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์ใด ๆ บรรดาที่ได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน เช่น มูลค่าของการได้รับประทานอาหาร เป็นต้น

วิธีการประเมินนั้นไม่ยากเลย ให้นำคำนวณจากรายได้ต่อเดือน คูณสิบสองเดือน ควรคำนวณเผื่อให้มากกว่าที่จะได้รับจริงสักหน่อย เพราะหากใช้จำนวนที่น้อยกว่าในการคำนวณจะยากต่อการคำนวณภาษี

เช่น หากมีฐานเงินเดือน 20,000 บาท แต่บางเดือนอาจมีเงินได้เพิ่มเติมป็น 25,000 บาท ก็ควรใช้จำนวน 25,000 บาทมาคำนวณเพื่อวางแผนภาษีและการลดหย่อนภาษี

นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งคำที่คุณจะต้องทราบความหมายไว้ คือ “รายได้พึงประเมิน” และ “รายได้สุทธิ” รายได้พึงประเมิน หมายถึง ยอดรวมรายได้ต่าง ๆ ที่คุณได้รับในปีภาษีนั้นทั้งจากมาตรา 40 (1) ถึงมาตรา 40 (8) เมื่อหักลบจำนวนดังกล่าวด้วย “ค่าลดหย่อนภาษี” แล้วจะได้ออกมาเป็นรายได้สุทธิ ซึ่งรายได้สุทธิก็คือจำนวนเงินที่จะนำไปใช้ในการคำนวณภาษีนั่นเอง

คำนวณภาษีที่จะต้องเสีย

ในการคำนวณภาษีที่จะต้องเสียนั้น ไม่ใข่การนำ “รายได้พึงประเมิน” ทั้งก้อนไปคำนวณ ผู้มีหน้าที่เสียภาษีทุกคน ต่างได้รับค่าลดหย่อนภาษีพื้นฐานตามกฎหมายกำหนด (จำนวนอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้)  และค่าลดหย่อนที่เข้าเงื่อนไข

สมมติว่าคุณมีรายได้รวมพึงประเมินตลอดทั้งปีอยู่ที่ 50,000 บาท หากไม่ได้ใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีใด ๆ คุณจะเสียที่อัตราภาษี 15%  แต่หากใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีที่เข้ากับเงื่อนไขของตน ภาษีที่จะต้องเสียก็จะลดลง เพราะเินได้สุทธิหลังหักค่าลดหย่อนลดลงแล้ว

วางแผนลดหย่อนภาษีที่เข้าเงื่อนไข

วิธีวางแผนลดหย่อนภาษีที่เข้ากับเงื่อนไขของตน ให้คิดง่าย ๆ ว่ารัฐจะช่วยคุณประหยัดเงินภาษีไปได้เท่าใด หากเราปฏิบัติตามเงื่อนไขอย่างถูกต้อง

ทยอยสะสมในกองทุนรวม SSF RMF

บรรดาสิทธิ์ลดหย่อนภาษีต่าง ๆ มีอีกสองรายการลดหย่อนที่ค่อนข้างยืดหยุ่น นั่นคือการซื้องกองทุนรวม SSF และกองทุนรวม RMF

ค่าลดหย่อนภาษีที่กล่าวในข้อ 3. เมื่อคำนวณออกแมาแล้วคุณจะเห็นภาพคร่าว ๆ ว่าจะต้องเสียที่อัตราภาษีเท่าไร แต่ถ้าคุณยังมีสิทธิ์ในการซื้อกองทุนรวมอีก ก็ควรพิจารณาลงทุนเพิ่มเพื่อประหยัดภาษี

การซื้อกองทุนรวม SSF และกองทุนรวม RMF นั้น ควรทยอยลงทุนหรือ DCA ไปทุก ๆ เดือน เพราะการ DCA จะเป็นการเฉลี่ยต้นทุนไปตลอดทั้งปี เพราะเกิดถึงช่วงจะคำนวณภาษี กองทุนของสินทรัพย์นั้นราคากลับปรับตัวสูงขึ้น ก็เท่ากับคุณต้องซื้อของแพงในคราวเดียว

อ่านเพิ่มเติมเรื่องกองทุนรวม

อย่างไรก็ตามการลงทุนในกองทุนรวม SSF และกองทุน RMF ต่างก็มีเงื่อนไขในตัวของมันเองและเงื่อนไขเป็นยอดรวมว่าหลังจากรวมกับกองทุนการลงทุนเพื่อการเกษียณจะต้องไม่เกินเท่าไร ในอัตราเท่าไร ดังนั้นจึงจะเป็นการดีที่จะต้องมีการคิดคำนวณและวางแผนเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆเพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป

อ่านเพิ่มเติมเรื่องกองทุน SSF และกองทุน RMF

รวบรวมเอกสารที่ต้องใช้ไว้ในที่เดียว

มีเอกสารมากมายที่จะต้องใช้ประกอบการยื่นภาษีและการลดหย่อนภาษี ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะได้รับเอกสารใด ๆ มาที่เกี่ยวข้องกับเงินทอง แนะนำให้สแกนแล้วบันทึกไว้บน Cloud หรือในที่ใดที่หนึ่งที่สามารถเข้าถึงได้ทันที  

หากคุณเป็น Freelance ที่มักจะมีรายได้เข้ามาตลอดทั้งปีจากหลายบริษัท จึงจะเป็นการดีที่จะจัดเก็บใบ 50 ทวิให้สามารถตรวจสอบได้ รวมถึงหนังสือรับรอง ใบเสร็จรับเงิน และเอกสารอื่น ๆ ที่คิดว่าจำเป็นจะต้องใช้

เชื่อหรือไม่ว่า การวางแผนลดหย่อนภาษีนั้นไม่เพียงจะเป็นผลดีเฉพาะการยื่นภาษีประจำปีเท่านั้น แต่คุณยังสามารถรู้ได้ว่า ในหนึ่งปีที่จะถึงนี้เงินทองที่หามาได้นั้นจะไปทางไหน เป็นจำนวนเท่าไร จัดสรรไว้กินไว้ใช้ ไว้ต่อยอดธุรกิจ และใช้ในการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนสร้างรายได้แบบ Passive Income ได้อีก

ยื่นภาษีปี 2565 มีค่าลดหย่อนอะไรบ้าง

นับแต่ปีภาษี 2561 เป็นต้นมา กรมสรรพากรได้ใช้รูปแบบของค่าลดหย่อนภาษีและมาตรการในการจัดการภาษีที่เหมือนกัน อาจจะต่างกันบ้างในแต่ละปีทางรัฐบาลได้ออกมาตรการส่งเสริมเศรษฐกิจ เช่น ในปีภาษี 2565 มี “โครงการช้อปดีมีคืนเฟส 2” หรืออาจมีการปรับเพิ่มรายการค่าลดหย่อนสำหรับกลุ่มคนที่อาจจะได้รับผลกระทบจากกรณีภัยพิบัติต่าง ๆ

เราลองมาดูกันคร่าว ๆ ว่าในปีภาษี 2565 คุณสามารถยื่นค่าลดหย่อนภาษีใดได้บ้างและสามารถตรวจสอบฉบับเต็มและเงื่อนไขที่จำเป็นได้จากเว็บไซต์ของกรมสรรพากร 

ค่าลดหย่อนส่วนตัว

ค่าลดหย่อนส่วนตัวนี้ เป็นจำนวนที่รัฐบาลได้เพิ่มการลดหย่อนให้กับผู้เสียภาษีเงินได้ทุกคน  2005 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันนับปีภาษี 2565 ทุก ทุกคนจะได้รับการยกเว้นภาษีที่ 60,000 บาท

เงินสมทบประกันสังคม

เงินสมทบประกันสังคมที่เราได้จ่ายไปทุก ๆ เดือนคือจำนวนเงินประกันสังคมที่สามารถนำมาลดหย่อนได้ ในบางสถานการณ์สำนักงานประกันสังคมได้มีประกาศลดอัตราการส่งเงินสมทบระหว่างนายจ้างและลูกจ้างลง เช่น จากเดิมเดือนละ 750 บาทหรือที่ 5% ของ 15,000 บาทเหลือเพียง 3% หรือ 350 เพื่อเป็นการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในยามวิกฤตเศรษฐกิจ 

ยอดเงินสมทบประกันสังคมที่คุณได้จ่ายไปในปีนั้น ๆ จะสามารถทราบได้จากใบ 50 ทวิที่ได้รับจากนายจ้างในสิ้นปีภาษี

อย่างไรก็ตามหากคุณทำงานมากกว่าหนึ่งแห่ง และต้องจ่ายเงินประกันสังคมเหมือนกัน จะลดหย่อนภาษีได้เพียงหนึ่งที่เท่านั้น หลังจากนั้นประมาณเดือนมิถุนายนของทุกปี จึงสามารถขอยื่นเรื่องรับคืนเงินสมทบประกันสังคมที่จ่ายเกินไว้ได้กลับคืนมา โดยจะมีหนังสือแจ้งการจ่ายเงินสมบทเกินมาที่คุณ

เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ / ก.บ.ข. / กองทุนครูเอกชน / กองทุนการออมแห่งชาติ

ค่าลดหย่อนภาษีนี้เป็นเงินส่วนที่เรียกว่าเงินลงทุนเพื่อการเกษียณ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้คนไทยให้ความสำคัญกับการออมเพื่อการเกษียณของตนเองมากขึ้น ในการลดหย่อนภาษีจึงสามารถนำเงินส่วนนี้ไปใช้ในการลดหย่อนภาษีได้ตามอัตราและเกณฑ์ของแต่ละการลงทุนกำหนดไว้ 

ค่าซื้อหน่วยลงทุนกองทุน SSF และ RMF

นอกเหนือจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือการลงทุนเพื่อการเกษียณแล้ว คุณสามารถซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวม SSF และกองทุนรวม RMF เพื่อเพิ่มการลดหย่อนในกรณีที่ยังมีสิทธิ์ในการลดหย่อนเหลือ

กองทุน SSF และกองทุน RMF มีเงื่อนไขรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างกันออกไปกรุณาศึกษาได้จากหนังสือชี้ชวนของกองทุนรวมทั้งคู่และสามารถเลือกลงทุนได้ตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้

อ่านเพิ่มเติมเรื่องวางแผนลงทุนด้วยการประเมินความเสี่ยงอย่างโปร

ค่าลดหย่อนอุปการะผู้พิการ

คุณสามารถเพิ่มการลดหย่อนภาษีจากการอุปการะเลี้ยงดูผู้พิการได้คนละไม่เกิน 60,000 บาทและผู้พิการนั้นจะต้อง ตวจสอบหลักเกณฑ์การลดหย่อนภาษีสำหรับการอุปการะผู้พิการ

• ผู้พิการต้องมีบัตรประจำตัวผู้พิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้พิการ

• เป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับผู้มีเงินได้

• ผู้มีเงินได้เป็นผู้อุปการะเลี้ยงดู และมีชื่อเป็นผู้ดูแลผู้พิการในบัตรประจำตัวผู้พิการ

• ผู้พิการมีเงินได้พึงประเมินไม่เกิน 30,000 บาท ในปีภาษีที่ผู้มีเงินได้ใช้สิทธิหักลดหย่อน (ไม่รวมเงินได้ที่ได้รับยกเว้นตามมาตรา 42)

• ผู้พิการต้องมีเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก

• กรณีผู้พิการมีผู้อุปการะเลี้ยงดูหลายคน ใครเป็นผู้มีสิทธิหักลดหย่อนนั้น ให้ดูว่าผู้มีเงินได้คนใดมีชื่อเป็นผู้ดูแลในบัตรประจำตัวผู้พิการ ผู้มีเงินได้คนนั้นเป็นผู้มีสิทธิหักลดหย่อน

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่

ค่าเลี้ยงดูบิดามารดา

บิดามารดาจะต้องมีอายุ 60 ปีขึ้นไป และเป็นผู้ไม่มีเงินได้ประจำปีภาษีนั้น ๆ หากคุณมีพี่น้องหลายคน คุณอาจจะแบ่งค่าลดหย่อนในการเลี้ยงดูบิดามารดากับพี่น้องคนอื่น ๆ ได้ เช่น คุณยื่นของคุณพ่อ อีกคนยืนของคุณแม่ หรือให้พี่น้องคนอื่นยื่นทั้งของคุณพ่อคุณแม่ ในขณะที่คุณไม่ได้ใช้สิทธิ์ในปีนั้น ก็สามารถเลือกได้เช่นกัน 

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่

ค่าประกันชีวิต

ค่าเบี้ยประกันแบบสะสมทรัพย์ เช่นเดียวกับการซื้อหน่วยลงทุนหักผู้มีเงินได้ได้ซื้อเบี้ยประกันแบบสะสมทรัพย์ หรือเบี้ยประกันสุขภาพเพื่อเป็นการจูงใจให้เกิดการประกันภัยในหมู่ประชาชนอาจจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการพยาบาลรักษาประชาชนคุณสามารถนำค่าเบี้ยประกันภัยในส่วนนี้มาใช้ในการลดหย่อนภาษีในแต่ละปีภาษีได้เช่นกัน

ค่าลดหย่อนบุตร

บุตรชอบด้วยกฎหมายและบุตรบุญธรรม หักค่าลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท ต้องเข้าเงื่อนไข ดังนี้

• บุตรชอบด้วยกฎหมาย หักลดหย่อนได้ไม่จำกัดจำนวน

• บุตรบุญธรรม หักลดหย่อนได้ไม่เกิน 3 คน

• กรณีมีบุตรชอบด้วยกฎหมายที่มีชีวิตอยู่จำนวนตั้งแต่ 3 คน จะนำบุตรบุญธรรมมาหักอีกไม่ได้

• กรณีมีบุตรชอบด้วยกฎหมายมีจำนวนไม่ถึง 3 คน ให้นำบุตรบุญธรรมมาหักได้รวมกับบุตรชอบด้วยกฎหมาย แต่รวมกันต้องไม่เกิน 3 คน

อย่างไรก็ตาม ยังมีเกณฑ์ของบุตรที่จะนำมาลดหย่อนภาษีอีก คือ บุตรที่นำมาหักลดหย่อนต้องไม่มีเงินได้ตั้งแต่ 30,000 บาทขึ้นไป และเข้าหลักเกณฑ์ใดหลักเกณฑ์หนึ่ง ดังต่อไปนี้

• เป็นผู้เยาว์ หรือ

• อายุไม่เกิน 25 ปี และกำลังศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยหรืออุดมศึกษา หรือ

• เป็นผู้ที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถอันอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดู

การนับจำนวนบุตรให้นับเฉพาะบุตรที่มีชีวิตอยู่ตามลำดับอายุ โดยนับรวมบุตรที่อยู่ในเกณฑ์ได้รับการลดหย่อนด้วย

โครงการช้อปดีมีคืน

รัฐบาลได้ประกาศโครงการช้อปดีมีคืนเฟส 2 ขึ้นมาเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มการจับจ่ายใช้สอย และเม็ดเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจของประเทศ วิธีการนี้จะช่วยให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีได้รับสิทธิประโยชน์ของการลดหย่อนภาษี ในขณะที่บริษัทและห้างร้านก็มีรายได้เพิ่มมากขึ้นจากมาตรการจูงใจของรัฐ โดยการรวบรวมใบกำกับภาษีจากการซื้อสินค้าและบริการจากร้านที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และได้รับการลดหย่อนภาษีปี 2565 ได้ไม่เกิน 30,000 บาท

ศึกษาค่าลดหย่อนภาษีฉบับเต็มตามประกาศของกรมสรรพากรได้ที่นี่ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปีภาษี 2561 เป็นต้นมา

ยื่นภาษีออนไลน์ ทำอย่างไร

ต้องขอบคุณอินเทอร์เน็ตที่ช่วยให้เราประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการยื่นภาษีพ้อมค่าลดหย่อนลงไปได้มาก เพราะคุณสามารถยื่นภาษีออนไลน์ได้ไใ่ว่าจะเป็นรายได้ประเภทไหน ลองมาดูขั้นตอนการยื่นภาษีออนไลน์ สำหรับผู้เพิ่งเริ่มใช้งานกันเถอะ

1. ไปที่เว็บไซต์ทางการ (https://efiling.rd.go.th/rd-efiling-web/login)

2. ล็อกอินเข้าสู่ระบบ หรือสมัครสมาชิกหากเริ่มใช้งานเป็นครั้งแรก

3. เตรียมใบ 50 ทวิที่ได้รับจากนายจ้าง

หากคุณทำงานมากกว่าหนึ่งที่ในปีภาษีนั้น ให้ระบุเลขประจำผู้เสียภาษีของนายจ้างที่จ่ายเงินให้มากกว่า

4. ระบุข้อมูลส่วนบุคคลของคุณ ตรวจสอบคามถูกต้องของที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์

ตั้งแต่การยื่นภาษีปี 2564 เป็นต้นมา สรรพากรค่อนข้างเพิ่มระดับความปลอดภัยในการดำเนินการด้วยการยืนยันตัวตนแบบสองขั้นตอน ดังนั้น อย่าลืมพกโทรศัพท์มือถือไว้ใกล้ตัว

5. กรอกรายได้

หากคุณทำงานมากกว่าหนึ่งแห่ง ให้รวมยอดราย ยอดประกันสังคม ฯลฯ ที่ได้ระบุบนใบ 50 ทวิ และกรอกในช่องที่กำหนด และบันทึกข้อมูล

6. กรอกค่าลดหย่อน

ที่ส่วนนี้ ให้คุณกรอกค่าลดหย่อนภาษีต่าง ๆ ที่เข้าเงื่อนไขของตนเอง ผู้เสียภาษีทุกคนจะได้รับการยกเว้น 60,000 บาทแรกเสมอ

7. ตรวจสอบความถูกต้อง

เมื่อคืนได้กรอกข้อมูลต่างๆพร้อมรายการลดหย่อนภาษีที่เข้าเงื่อนไขแล้วขอให้มีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลอีกครั้งไม่มีตัวเลขใดขาดตกหรือกรอกชื่อที่อยู่เบอร์โทรศัพท์ผิดไม่เช่นนั้นจะส่งผลให้เกิดความผิดพลาดในการคำนวณภาษีและรายการที่ยืดได้

หากคุณมีภาษีที่จะต้องจ่าย สรรพากรจะสอบถามความสมัครใจว่ามีความประสงค์จะบริจาคเพื่อพรรคการเมืองหรือไม่ หากต้องการ ก็สามารถเลือกจากรายการดังกล่าวได้ หากไม่ประสงค์ ให้คลิกที่ยืนยันการส่งข้อมูล

8. ยืนยันการส่งข้อมูล

เมื่อส่งข้อมูลออกไปแล้ว ระบบจะทำการคำนวณโดยทันทีว่าคุณมีภาษีที่จะต้องจ่ายเพิ่มหรือมีภาษีที่จะได้รับคืน (อย่าลืมว่า เราทุกคนได้จ่ายภาษีไว้ล่วงหน้าแล้ว ที่เรียกว่า “หัก ณ ที่จ่าย”)

หากคุณมีภาษีที่จะต้องได้รับคืน คุณจะถูกนำไปสู่หน้าพิมพ์ใบเสร็จรับเงิน แต่หากคุณมีภาษีที่จะต้องจ่ายเพิ่ม ระบบจะปรากฏจำนวนเงินที่คุณจะต้องจ่ายภาษีเพิ่ม และให้ติดต่อกับธนาคารเพื่อชำระภายในเวลาที่กำหนด โดยส่วนมากจะกำหนดไว้ไม่เกินเดือนมิถุนายนของทุกปี

การวางแผนภาษีและใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีตามเงื่อนไขของตนเอง เป็นหนึ่งในมาตรการการวางแผนการเงินส่วนบุคคลที่คนทำงานทุกคนควรสร้างความรู้ความเข้าใจไว้ และอออกแบบใช้ให้เข้ากับตนเอง รวมถึงการหาความรู้เรื่องการลงทุนเพื่อสร้างรายได้แบบ Passive Income สำหรับอนาคต