สร้างเงินออนไลน์กับกระแส E-Commerce ในไทย

โลกปัจจุบัน ทุกคนสามารถซื้อสินค้าและบริการต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายด้วยปลายนิ้ว เพราะอินเทอร์เน็ตทำให้ธุรกิจ ผู้ขายหรือผู้ให้บริการ และผู้บริโภคหรือผู้ซื้อ สามารถเชื่อมต่อกันได้บนอุปกรณ์สื่อสารที่หลากหลายทั้งสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต แล็ปท็อปหรือคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ  และการชำระเงินยังถูกออกแบบให้ง่าย ปลอดภัย เป็นผลให้การซื้อของหรือขอรับบริการผ่านช่องทางออนไลน์ กลายมาเป็นกิจวัตรของผู้คน

E-Commerce คืออะไร

ธุรกิจ E-Commerce คือการทำธุรกิจขายสินค้าหรือบริการที่การชำระเงินกระทำผ่านอินเทอร์เน็ต โดยธุรกิจไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้าน มีเพียงเว็บไซต์หรือใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อวางขายสินค้าหรือนำเสนอการให้บริการ โดยจะทำงานประสานกับผู้ให้บริการขนส่งสินค้าด้วยเพื่อให้สินค้าไปถึงมือผู้สั่งซื้อ 

การซื้อขายหรือให้บริการ มีหลายรูปแบบตามลักษณะของผู้ขายหรือผู้ให้บริการ กับผู้ซื้อหรือผู้ใช้บริการ 

• ธุรกิจกับผู้บริโภคโดยตรง (Business to Consumer หรือ B2C)

• ธุรกิจกับธุรกิจ (Business to Business หรือ B2B)

• ผู้ขายปลีกกับผู้บริโภคโดยตรง (Consumer to Consumer หรือ C2C)

• ธุรกิจกับภาครัฐ (Business to Government หรือ B2G)

• ภาครัฐกับผู้บริโภคโดยตรง (Government to Consumer หรือ G2C)

กรณีการซื้อขายระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ มักจะมียอดซื้อขายจำนวนมาก หากมองขนาดทางเศรษฐกิจจึงถือว่ามีสัดส่วนสูงเมื่อวัดด้วยมูลค่าทางตลาด แต่กรณีของการซื้อขายระหว่างธุรกิจกับผู้บริโภคโดยตรงแม้ว่ายอดซื้อขายจะน้อยกว่า แต่มีความถี่มากกว่าอย่างแน่นอน ซึ่งทั้งภาคธุรกิจและผู้บริโภคที่เป็นภาคธุรกิจเองหรือผู้บริโภคที่เป็นบุคคลธรรมดา หันมาสู่รูปแบบการซื้อขายแบบ E-Commer มากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะในปัจจุบันเทคโนโลยีสื่อสารก้าวหน้าขึ้น ต้นทุนการใช้บริการเครือข่ายสื่อสารราคาถูก ประกอบกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในปลายปี พ.ศ. 2562 ถึงประมาณกลางปี พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมาได้ส่งเสริมพฤติกรรมของผู้คนในการจับจ่ายใช้สอยผ่านระบบ E-Commerce

5 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเติบโตของ E-Commerce ในไทย

ปริมาณของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตและปริมาณการใช้อินเทอร์เน็ต 

ประเทศไทยมีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตถึงประมาณ 70% เมื่อเทียบกับประชากรทั้งประเทศ และใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ย 8.44 ชั่วโมง/วัน/คน ถือว่าปริมาณการใช้อินเทอร์เน็ตต่อวันสูงกว่าประชากรโลกโดยเฉลี่ย (อ้างอิง We Are Social, มกราคม 2564) โดยจากการสำรวจพบว่าใน 100 คนมีประชากรที่ซื้อของออนไลน์ 83.6 คน และซื้อผ่านมือถือถึง 74.2 คน และยังใช้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่ถึง 61 คน เท่ากับว่าคนไทยในประเทศไทยใช้งานซื้อขายสินค้าและบริการในระบบ E-Commerce ในลักษณะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน หรือให้การตอบรับเป็นอย่างดี

การใช้งานมือถือสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือแล็ปท็อป 

ผลสำรวจในระดับโลกที่นำมาอธิบายแนวโน้มของประชากรไทยได้เช่นกัน คือ 57% ของคนรุ่น Baby Boomers ใช้แท็บเล็ตเป็นหลัก และ 49% ใช้แล็ปท็อป ขณะที่ 65% ใช้คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ  ในขณะที่คนรุ่น Millennials ใช้แท็บเล็ตอยู่ที่ 35% มีแล็ปท็อปเป็นของตนเองถึง 70% และ 57% มีคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ ในส่วนของคน Gen Z พบว่ามีถึง 98% ที่มีสมาร์ทโฟนเป็นของตนเอง  ตัวเลขรายงานการใช้อุปกรณ์ที่สูงเช่นนี้ในตลาดโลก แน่นอนว่าประเทศไทยที่ผู้คนใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างเข้มข้นจนติดอันดับท็อปของโลก คงจะมีแนวโน้มในค่าเฉลี่ยเดียวกัน ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้ได้สนับสนุนหรือชักจูงผู้คนด้วยโฆษณาได้ตลอด นำผู้ใช้ไปสู่การซื้อหาสินค้าและบริการของธุรกิจแบบ E-Commerce นั่นเอง โดยสถิติสำรวจท็อป 10 กิจกรรมออนไลน์โดย ETDA ในปี 2564 พบว่าใน 100 คนไทย มีประมาณ 68 คนโหวตว่ากิจกรรมที่ทำเป็นประจำ คือซื้อสินค้าออนไลน์

การแบ่งปันความคิดเห็นบนโซเชียลมีเดีย 

โซเชียลมีเดียได้เปิดโอกาสให้คนธรรมดาที่ผู้คนเคยไม่รู้ว่าพวกเขารู้ลึกรู้จริงในหลายเรื่อง หรือมีประสบการณ์มากกว่าบางคน ได้แสดงตนเป็นกูรู หรือเปิดเผยตัวมาแบ่งปันประสบการณ์ ด้วยการสำรวจพบว่าใน 100 คนไทย มี 78.7 คนใช้โซเชียลมีเดีย ซึ่งเท่ากับว่าเมื่อมีคนแบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับสินค้า มีผู้คนไม่น้อยที่จะได้ผ่านตา อ่าน หรือรับชมเนื้อหา เพราะฉะนั้นทางธุรกิจเองก็ต้องเข้ามาใช้พื้นที่โซเชียลมีเดียด้วยเช่นกันเพื่อสร้างพื้นที่ในใจผู้บริโภค ซึ่งผู้บริโภคที่ได้เห็นการแบ่งปันความคิดเห็นหรือรีวิว ก็จะได้รับอิทธิพลการเชิญชวนหรือโน้มเอียงให้ซื้อสินค้าที่รู้สึกชอบรีวิวซึ่งเข้าถึงได้ง่าย

ค่านิยมความสะดวกสบายและประหยัดเวลา 

การซื้อของผ่านระบบ E-Commerce ทำให้การใช้ชีวิตสะดวกสบายขึ้นมาก ไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องหาเงินสดมาพกออกไปข้างนอก เปรียบเทียบราคาสินค้าแบบเดียวกันจากต่างธุรกิจได้รวดเร็ว หาของที่ต้องการได้ในเวลาสั้น ๆ  ในยุคนี้ที่ผู้คนเร่งรีบ มีเวลาน้อย โดยคนไทยเป็นหนึ่งในชาติที่ทำงานหนักและหลายคนเลิกงานในช่วงหัวค่ำ รวมถึงการจราจรในกรุงเทพ ฯ ที่หนาแน่นในหลายช่วงเวลา การซื้อของผ่านระบบ E-Commerce จึงได้รับการยอมรับในประเทศไทย

ความคาดหวังของผู้บริโภคที่จะเรียนรู้ถึงสินค้าอย่างรวดเร็ว

ด้วยปัจจัยที่กล่าวไปแล้วก่อนหน้า ประสบการณ์ออนไลน์ของผู้คนเองได้ปรับเปลี่ยนความคาดหวังของพวกเขา ผู้บริโภคในปัจจุบันหวังว่าจะเข้าถึงแบรนด์ เรียนรู้เกี่ยวกับแบรนด์ได้ไว หาข้อมูลได้ไวและซื้อสินค้าได้ไว ยกตัวอย่างเช่นถ้าผู้บริโภคคนหนึ่งเห็นโฆษณาสินค้าเป็นวิดีโอฮาวทูบนยูทูป จะต้องรับรู้ได้ทั้งรูปลักษณ์ การทำงาน ช่องทางที่จะซื้อหามาได้ และควรจะต้องมีช่องทางให้กดไปเลือกลงตะกร้าซื้อขายและชำระเงินได้เลย ผู้บริโภคเริ่มคุ้นชินกับประสบการณ์เช่นนี้และมองหาประสบการณ์ลักษณะเดียวกัน

ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ความพร้อมของผู้คนที่เข้าถึงเทคโนโลยี และพฤติกรรมที่ถูกปรับเปลี่ยนไปด้วยการชี้นำของธุรกิจผ่านสื่อต่าง ๆ และเนื้อหาโฆษณา และสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และค่านิยมทางสังคมที่คนมักจะหันเหนพฤติกรรมไปในทิศทางเดียวกันหากจะเป็นประโยชน์แก่ตัวเองแล้ว ทำให้ E-Commerce กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน และการเติบโตก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย 

ธุรกิจขายสินค้าและบริการใหม่ ๆ หรือธุรกิจต่างประเทศที่เข้ามาดำเนินงานในไทยก็ต้องอาศัยพื้นที่ออนไลน์และรูปแบบธุรกิจแบบ E-Commerce ด้วย

5 เครื่องมือสำคัญของนักธุรกิจ E-Commerce

Google Analytics 

เครื่องมือฟรีจาก Google ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล สามารถนำข้อมูลมาใช้ต่อยอด วางกลยุทธ์เพื่อเพิ่มยอดขาย โดยการโฆษณาที่ทำกับ Google จะสามารถเช็คการเข้าถึงและสถิติต่าง ๆ อย่างจำนวนคลิกได้ ทำให้สามารถทำการแก้ไขปรับปรุงโฆษณา 

Googld Ads

เครื่องมือที่ควรใช้งานเป็นร่วมกับ Google Analystics ทำให้เว็บไซต์อย่างเป็นทางการหรือ link ที่นำไปสู่การซื้อสินค้าไปปรากฎอยู่บนหน้าแรกสำหรับการเสิร์ชด้วยเว็บไซต์ Google การยิง Ads นั้นสามารถเลือกกลุ่มผู้บริโภคได้ ทำให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มตลาดเป้าหมาย และเพิ่มการเข้าถึงเว็บไซต์ ยิ่งทำให้คนเห็นชื่อสินค้าและเข้าสู่หน้าเว็บไซต์สินค้ามากขึ้นก็จะยิ่งช่วยให้มีลูกค้ามากขึ้น

WordPress

เครื่องมือสำหรับสร้างเว็บไซต์ ใช้งานได้ง่าย เรียนรู้การใช้งานได้เร็ว แทนที่จะต้องเสียเงินจ้างโปรแกรมเมอร์มืออาชีพในการสร้างเว็บไซต์ ผู้วางแผนเป็นเจ้าของแบรนด์สามารถใช้งานสร้างเว็บไซต์ขึ้นมาเอง และด้วยความง่ายในการใช้งานที่มีธีมแบบสำเร็จรูปให้เลือกใช้งานด้วย ทำให้ไม่จำเป็นต้องจ้างคนมาปรับปรุงดูแลระบบ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ยังทำงานกับ Google Analytics และ Google Ads ได้อีกด้วย และยังมีเครื่องมือที่เรียกว่า Plugins ซึ่งสามารถติดตั้งแอปเพื่อนำมาช่วยเรื่องการวิเคราะห์ฐานข้อมูลได้

Ubersuggest 

การตลาดในปัจจุบัน การสร้างเนื้อหาทางการตลาด และการถูกเข้าถึงได้เป็นเรื่องสำคัญที่มีผลอย่างมากในการสร้างแบรนด์ ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก และทำให้ผู้คนอยากปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ไปจนถึงภักดีกับแบรนด์จนวนเวียนซื้อซ้ำและไม่เปลี่ยนแบรนด์ที่ถูกใจได้ง่าย ๆ เครื่องมือตัวนี้ช่วยในการวิเคราะห์ Keyword ซึ่งสามารถต่อยอดทำ SEO ได้ เมื่อเรารู้ถึงคำที่อยู่ในใจคนก็สามารถใช้ประโยชน์ของการมีคำเหล่านั้นทำให้เนื้อหาของเราปรากฎขึ้นบ่อย ๆ เมื่อคนค้นหา จะช่วยเพิ่มยอดการเข้าสู่เว็บไซต์หรือช่องทางโซเชียลมีเดียอื่น ๆ 

Buffer

เครื่องมือจัดการ Social Media ครอบคลุมการให้บริการที่ส่งผลต่อการแสดงผลบน Facebook, Twitter, Instagram, LinkedIn และ Pinterest ทำให้ดูแลเนื้อหา ตั้งเวลาโพสต์เนื้อหา ตรวจสอบสถิติต่าง ๆ ได้ สามารถแชร์บัญชีให้สมาชิกในทีมช่วยดูแล มีค่า Analytics ต่าง ๆ แสดงให้อ่านค่าและนำไปวิเคราะห์เพื่อทำกิจกรรมทางการตลาดได้ นี่เป็นเครื่องมือที่ต้องชำระค่าบริการใช้งานแต่สามารถทดลองใช้ฟรีได้ 15 วัน

นอกจากเครื่องมือที่โดดเด่นทั้ง 5 แล้ว ยังมีเครื่องมืออีกมากมายที่น่าสนใจ ซึ่งนักค้าขาย E-Commerce ควรตรวจสอบหาดู เทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้นและมีผู้พัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้นมาด้วยความเข้าใจความต้องการและเพื่อสร้างโอกาสเติบโตให้วงการ E-Commerce ต่อไป โดยอาจมีเครื่องมืออื่น ๆ ที่ทำงานคล้ายคลึงกับเครื่องมือข้างต้นที่เสนอไปด้วย ซึ่งนักค้าขาย E-Commerce ควรได้มีโอกาสลองใช้งานดูเพื่อเปรียบเทียบและเลือกเครื่องมือที่ใช้ถนัดที่สุด ประหยัดต้นทุนที่สุด สร้างมูลค่าขึ้นมาแก่ธุรกิจสินค้าและบริการที่ดำเนินการอยู่ 

ผู้นำ E-Commerce ในไทยปี 2565

ตัวอย่าง ธุรกิจ E-Commerce ในไทย ปี 2564 Lazada ชี้แจงกำไร 226 ล้านบาท ด้าน Shopee มีการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 129% แต่สรุปแล้วขาดทุนไปถึง 4,972 ล้านบาท ขณะที่ เจดี เซ็นทรัล ชี้แจงรายได้ขาดทุนอยู่ที่ 1,930 ล้านบาท 

สถานการณ์ตอนนี้ผู้นำ E-Commerce ในไทยจึงเป็น Lazada 

บริษัท Lazada (ลาซาด้า)  นำโดยคุณธนิดา ซุยวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายธุรกิจ ได้บริหารและผลักดันแพลตฟอร์มจนเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งจำนวนผู้ซื้อ ร้านค้า และยอดคำสั่งซื้อ ซึ่งการเติบโตถือว่าก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับในช่วงก่อนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยในส่วนของ LazMall มียอดขายเติบโตขึ้น 2-3 เท่าในช่วงโควิด-19 

ตัวเลขผู้ใช้งานของ Lazada อยู่ที่ประมาณ 160 ล้านบาท จำนวนร้านค้ากว่า 1 ล้านร้าน โดยสินค้าขายดีสามลำดับแรก ตามสถิติการซื้อสินค้าออนไลน์ 2564 คือกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มเครื่องสำอาง และกลุ่มสินค้าแฟชั่น การเติบโตอยู่ที่ 400-500% โดยคาดการณ์ว่ากลุ่มช่วงอายุที่ทำให้ธุรกิจ E-Commerce เติบโตคือกลุ่มวัย Gen Z ซึ่งหากเทียบการเติบโตกับการขายในต่างประเทศแล้ว ในประเทศไทยอาจจะมีกลุ่มวัย Gen Z น้อยกว่าเวียดนาม จึงยังมีการเติบโตน้อยกว่าเวียดนาม 

คู่แข่งรายสำคัญของ Lazada คือ Shopee ได้รับการจัดอันดับของ AppAnnie ว่าเป็น E-Commerce อันดับหนึ่งในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ โดยวัดที่จำนวนผู้ใช้งานและระยะเวลาการใช้งาน โดยพฤติกรรมของผู้บริโภคเน้นสินค้าในกลุ่มของใช้ในบ้าน ผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลร่างกายและความงาม และสินค้าโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ใช้ประกอบ ถือว่าต่างกับ Lazada ไปเล็กน้อยในเรื่องความต้องการของผู้บริโภค แต่อย่างไรก็ตามด้วยตัวเลขการทำกำไร ทาง Shopee ถือว่ายังสู้ Lazada ไม่ได้ในไทย

กลยุทธ์ของ Lazada ที่คนไทยชอบ ดูแล้วน่าจะมีทั้งการที่แบรนด์สามารถมอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าได้โดยตรง การจัดช่วงวันพิเศษที่สามารถซื้อสินค้าได้ในราคาพิเศษ ซึ่งผู้คนถึงกับรอที่จะมาซื้อของเพราะเห็นถึงความคุ้มค่า แบรนด์ต่าง ๆ ทำยอดขายได้มากขึ้น 2-6 เท่าในช่วงเทศกาล 9.9 หรือ 6.6 โดยกลุ่มลูกค้าไม่ได้มีแค่ผู้หญิงที่ชอบการได้จับจ่ายใช้สอย แต่รวมไปถึงผู้ชายและผู้สูงอายุยังเพิ่มมากขึ้นด้วย

นอกจากการสนับสนุนความสะดวกสบายในการซื้อสินค้าของผู้คน ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2565 ทางแบรนด์ยังมีการวางแผนร่วมมือกับแบรนด์ต่าง ๆ เพื่อให้มีสินค้าทดลองที่ผู้คนสามารถขอรับไปใช้ทดลองได้ โดยทำไปแล้วกับ Lancome ในลักษณะของการตั้งตู้ Vending Machine เป็นส่วนหนึ่งของโปรเจ็ค Try & Buy ที่คาดว่าจะกระตุ้นยอดขายให้เพิ่มขึ้นอีก ซึ่งปัจจุบันมีสินค้าอื่น ๆ ร่วมรายการกว่า 300 รายการแล้ว รวมถึงมีการเปิดตัวฟีเจอร์ Brands Membership Program ที่ผู้ใช้งาน Lazada สามารถกดเข้าเป็นสมาชิกของแบรนด์เพื่อรับส่วนลดพิเศษ คะแนนสะสม คูปองและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ 

9 วิธีมีส่วนร่วมทำเงินกับ E-Commerce 

การเปิดร้านค้ากับแพลตฟอร์มต่าง ๆ 

การค้าขายเป็นวิธีการหลักที่ร่วมทำเงินกับ E-Commerce ได้ โดยจะต้องศึกษากฎกติกาของแต่ละแพลตฟอร์มให้ดี หลายแพลตฟอร์มสามารถสมัครบัญชีร้านค้าใหม่ได้ง่าย ๆ ด้วยเบอร์มือถือ เมื่อทำการกรอกที่อยู่ ส่งเอกสารยืนยันตัวตน และลงภาพกับรายละเอียดสินค้า ก็จะสามารถเปิดหน้าร้านได้อย่างเป็นทางการ สามารถรับออเดอร์แรกได้ โดยร้านค้าใหม่ของแต่ละแพลตฟอร์มก็สามารถได้รับสิทธิพิเศษต่าง ๆ ได้ด้วย ในการเปิดร้านขายควรต้องศึกษาประเภทร้านค้าให้ดีก่อนเพราะมีผลต่อต้นทุน รวมถึงมีระบบการสต็อกของและสั่งของกับส่งของออกที่เป็นระบบ โดยสิ่งที่มองข้ามไปไม่ได้ คือการทำการตลาดในช่องทางอื่น ๆ อย่างเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียร่วมด้วย

เปิดคอร์สสอนวิธีการขายบนแพลตฟอร์มและการใช้เครื่องมือการตลาด

สำหรับบางคนที่มีประสบการณ์ขาย หรือเข้าใจเครื่องมือทางการตลาด ไม่ว่าจะเป็น Google Analytics, Google Ads, Buffer หรืออื่น ๆ สามารถสร้างคอร์สสอน โดยอาจจะทำเว็บไซต์ด้วย WordPress และลงเนื้อหาขายคอร์ส หรือเสนอขายเป็นคอร์สผ่านช่องทางอื่น ๆ ก้ได้ ในยุคนี้แล้ว การหาเงินได้หลายทางจะเป็นข้อได้เปรียบ ถ้าขายของแล้วมาเปิดคอร์สสอนด้วยก็เป็นการโฆษณาสินค้าไปในตัว แต่ถ้าไม่ถนัดการจัดการของสำหรับวางขาย ทำแค่สอนคอร์สก็ถือว่าเป็นโอกาสเพื่อสร้างรายได้ที่ดี

รับจ้างเขียนเนื้อหาสำหรับงานโฆษณาสินค้า หรือให้ข้อมูลสินค้า

สำหรับคนมีทักษะการเขียน และยิ่งถ้ามีความรู้เรื่องการใช้ Keyword รวมถึงการทำ SEO (Search Engine Optimization) สามารถเขียนเว็บไซต์ หรือลงประชาสัมพันธ์ทางช่องทางต่าง ๆ รับจ้างเขียนเนื้อหางานโฆษณาให้เว็บไซต์ หรือเนื้อหาสั้น ๆ ลงโพสต์ของหน้าเพจขายสินค้า นอกจากนี้ยังพัฒนาต่อยอดสร้างคอร์สสอนเรื่องการเขียนหรือการทำ SEO ควบไปด้วยก็ยังได้

รับทำภาพกราฟิก

การลงโฆษณาในลักษณะโพสต์ หรือแม้กระทั่งลงบทความในเว็บไซต์ สมควรจะต้องมีภาพประกอบการโฆษณา ภาพเหล่านี้อาจจะเกิดจากการถ่ายภาพและตกแต่ง หรือเกิดจากการนำภาพที่ลูกค้าให้มาออกแบบเพิ่มเติมและทำการตกแต่ง จัดสีและองค์ประกอบเพิ่มเติม หรือแม้กระทั่งการใช้ทักษะงาน 3D มาปั้นโมเดลจำลองภาพสินค้าและทำองค์ประกอบต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่อนำไปใช้ในงานโฆษณาต่อได้ด้วย รายได้สำหรับงานกราฟิกสำหรับงานโฆษณามีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักแสน

รับถ่ายรูปโปรโมตสินค้า

สินค้าจะขายได้ ภาพต้องสื่อสารได้ดี สีต้องเข้าถึงใจผู้บริโภค และองค์ประกอบของภาพต้องสมดุลระหว่างสิ่งที่ต้องการสื่อสาร เอกลักษณ์ของแบรนด์ และความโดดเด่นของสินค้า ผู้ขายบางรายอาจจะไม่สามารถถ่ายรูปเพื่อโปรโมตสินค้าได้สวยงาม ไม่มีสถานที่ที่เหมาะสมในการถ่ายภาพ ดังนั้นจึงต้องมีตากล้องที่เข้าใจเรื่องสีและองค์ประกอบภาพรวมถึงแสงเงาที่เข้ามาช่วยเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจ

รับพากย์เสียงวิดีโอโปรโมตสินค้า

ภาพเคลื่อนไหวเป็นสื่อที่ได้รับความนิยม โดยเฉพาะในช่อง TikTok มีการนำเสนอเนื้อหาที่มีการเคลื่อนไหวและดึงดูดใจอย่างมาก วิดีโอโฆษณาที่พบเห็นกัน ไม่ใช่แค่ว่าเจ้าของจะพากย์เสียงตัวเองใส่ แต่ปัจจุบันทั้งภาคธุรกิจขนาดใหญ่และแม่ค้าพ่อค้ารายย่อยได้พยายามเพิ่มความน่าสนใจของสินค้าโดยการมองหาผู้ที่พากย์เสียงกระตุ้นอารมณ์ผู้ชมวิดีโอให้อยากอุดหนุนสินค้าด้วย

รับถ่ายทำ-ตัดต่อวิดีโอโปรโมตสินค้า

การแข่งขันกันโฆษณาอย่างรุนแรงทำให้ภาพนิ่งและวิดีโอเคลื่อนไหวที่ไม่มีเอกลักษณ์ไม่ให้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ร้านค้าออนไลน์หลาย ๆ ร้านตามหามือดีที่พร้อมรับถ่ายทำและตัดต่อวิดีโอรวมถึงใส่เอ็ฟเฟ็คเพื่อความปังปุริเย่ในการนำเสนอภาพสินค้าในตลาด 

Influencer

ยุคนี้ไม่ต้องรอแมวมองเพื่อจะเป็นดารา แค่เพียงคิดเอกลักษณ์ในการนำเสนอตัวเอง หรือสัตว์เลี้ยง รวมถึงงานอดิเรกที่ทำได้ดี คนธรรมดาก็กลายเป็นดาวโซเชียลและมีผู้ติดตามจำนวนมากได้ ถ้าคุณเชื่อมั่นในตัวเองและหาจุดขายให้กับตัวเองได้ ลองสู้ดูสักตั้งก็ไม่เสียหาย เมื่อมียอดผู้ติดตามมาก คุณสามารถรับโฆษณาสินค้าต่าง ๆ ได้ หรือบางครั้ง ไม่ต้องเสนอตัวมากก็มีธุรกิจหรือร้านค้าจำนวนไม่น้อยที่มายื่นข้อเสนอให้กับคุณ ในวงการ Influencer มีทั้งคนที่เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงอย่างรวดเร็ว และคนที่ค่อย ๆ สร้างตัวตนขึ้นมา ถ้าเชื่อว่าตัวเองทำได้ก็ลองลุยก่อนเลย

Affiliate Marketing 

แพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่ให้บริการ E-Commerce ในลักษณะ Marketplace อาจมีโปรแกรม Affiliate ทางผู้ที่ไม่สนใจขายสินค้าแต่หางานเสริมอยู่ อาจจะลองค้นหาและศึกษารายละเอียดดู โดยผู้ที่จะเป็น Affiliate หรือให้การสนับสนุนทางการตลาดจะต้องมีช่องทางในการประชาสัมพันธ์ข่าวสารของทางแพลตฟอร์มหรือร้านค้าต่อ โดยอาจจะเป็นเว็บไซต์ส่วนตัวที่จดทะเบียนโดเนม หรือช่องทางโซเชียลมีเดีลต่าง ๆ และอาจจะใช้ทักษะไม่ว่าจะเป็นการเขียน การทำภาพกราฟิก การทำวิดีโอโปรโมต หรือความมีตัวตนเป็น Influencer ในโลกโซเชียลทำการโฆษณาให้สินค้าหรือบริการ โดยถ้ามีคนใช้ช่องทางเว็บไซต์หรืออื่น ๆ ที่เราแจ้งไว้เพื่อไปยังแพลตฟอร์มหรือทำการซื้อสินค้า ทาง Affiliator ที่สนับสนุนแพลตฟอร์ม ก็จะได้รับค่าตอบแทน

ธุรกิจ E-Commerce ผลักดันธุรกิจดิจิทัลไป สร้างโอกาสอีกมากมายให้แก่หลาย ๆ อาชีพ เกิดความร่วมมือแบบใหม่ในด้านการตลาด พร้อม ๆ กับขับเคลื่อนให้รูปแบบการใช้ชีวิตของผู้คนสะดวกสบายมากขึ้น