เราใช้คุกกี้เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่คุณใช้เว็บไซต์ของเรา และสิ่งที่เราสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้น คลิก "ยอมรับ" เพื่อใช้เว็บไซต์ของเราต่อไป รายละเอียด

Yield Curve คืออะไร บอกสิ่งใดต่อนักลงทุนบ้าง

เผยแพร่เมื่อ 2022-07-30

บทนำ

เมื่อเผชิญหน้ากับตัวเลือกการลงทุนมากกว่าหนึ่งอย่าง แต่งบประมาณมีจำกัด ดังนั้นนักลงทุนจึงมักแสวงหาเครื่องมือหรือตัวชี้วัดที่จะช่วยตัดสินใจได้ว่าเงินลงทุนที่มีอย่างจำกัดจะให้ผลตอบแทนสูงสุดภายใต้กรอบระยะเวลาที่เหมาะสม เพราะขณะที่เงินมีจำกัด เวลาในชีวิตของแต่ละคนที่ลงทุนไปพร้อมกับเงินก็มีจำกัดด้วย และเครื่องมือหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนเฉพาะกลุ่มพันธบัตรนำมาเป็นตัวช่วยเพื่อให้รู้ว่าตนจะทำเงินได้ทันใช้ คือสิ่งที่เรียกว่า Yield Curve

Yield Curve คืออะไร

Yield Curve คือ กราฟที่ใช้ในการคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ประกาศโดยธนาคารกลาง และใช้เพื่อทำความเข้าใจดอกเบี้ยผลตอบแทนหรือผลตอบแทนทั้งหมดในการลงทุนสินทรัพย์ประเภทพันธบัตรแต่ละตัวที่สามารถเป็นตัวเลือกลงทุนหรือมีอยู่ในตลาด  โดยในทางกลับกัน Yield Curve สร้างขึ้นจากการคำนวณผลตอบแทนของพันธบัตรต่าง ๆ ในทางเลือกการลงทุนหรือ Bond Yield


Bond Yield คือ อัตราผลตอบแทนของการถือครองพันธบัตร โดยการศึกษาเศรษฐกิจมหภาพหรือดูภาพรวมเศรษฐกิจ จะพิจารณาเฉพาะผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยหน้าตั๋ว 


ทั้งนี้ Bond Yield เฉพาะตัวพันธบัตรที่ราคารับซื้อคืนสูงโดยเปรียบเทียบกับตัวอื่น ๆ ควรมีการกำหนดดอกเบี้ยที่หน้าตั๋วหรือ Bond Yield ไว้ต่ำ ซึ่งควรสอดคล้องกับการคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวที่เป็นเหตุปัจจัยให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรต่ำ (ผู้ถือพันธบัตรได้รับดอกเบี้ยไม่สูง แต่ได้รับเงินให้กู้ที่ผู้ออกพันธบัตรจ่ายไถ่ถอนเพื่อซื้อพันธบัตรเมื่อครบกำหนดสูง ผลตอบแทนที่สูงโดยรวมคือแรงจูงใจให้เกิดการลงทุน) 


ขณะที่ Bond Yied เฉพาะตัวพันธบัตรที่ราคารับซื้อคืนต่ำโดยเปรียบเทียบกับตัวอื่น ๆ ควรมีการกำหนดดอกเบี้ยที่หน้าตั๋วหรือ Bond Yield ไว้สูง ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจที่น่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องที่อาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อ ด้วยแนวคิดเรื่องมูลค่าของเงินระหว่างเวลา มูลค่าของเงินยิ่งมีอำนาจซื้อน้อยลงหากเงินเฟ้อยิ่งเพิ่มขึ้น (ผู้ถือพันธบัตรได้รับดอกเบี้ยสูงชดเชยความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ ผู้ออกพันธบัตรได้ประโยชน์ในตอนไถ่ถอน) 


Yield Curve มีลักษณะที่รู้จักกันมากกว่าหนึ่งแบบ แต่ละแบบสะท้อนความเป็นไปในตลาดและช่วยให้เห็นความเสี่ยงในการลงทุน 


พันธบัตร คือ ตราสารหนี้ประเภทหนึ่ง แบ่งเป็นสองประเภทหลัก ๆ คือพันธบัตรรัฐบาลและพันธบัตรเอกชน โดยจัดเป็นหนังสือที่แสดงว่าผู้ครอบครองได้ลงทุนในลักษณะที่เป็นการให้รัฐ องค์กรหรือบริษัทใดกู้ไปเพื่อดำเนินงานโครงการต่าง ๆ โดยทางฝั่งที่ออกพันธบัตรที่เป็นผู้กู้นั้นมีหน้าที่ต้องให้ดอกเบี้ยเป็นผลตอบแทน และซื้อคืนพันธบัตรในราคาเงื่อนไขที่กำหนดไว้เมื่อออกขายพันธบัตร


การสร้างเส้น Yield Curve

  1. เรียงลำดับรายการพันธบัตรที่เป็นตัวเลือก จากวันครบกำหนดซื้อคืน หรือ Maturity Date ก่อนหน้าไปยังวันที่ไล่หลังตามลำดับ 

  2. พิจารณาดูผลตอบแทนที่ได้รับของแต่ละพันธบัตร ทั้งเปอร์เซ็นดอกเบี้ยที่ชำระ และมูลค่าการซื้อคืน ซึ่งผลตอบแทนที่ได้รับของแต่ละพันธบัตรนี้สามารถเรียกว่า Bond Yield ซึ่งในระดับมหภาพหรือการมองภาพรวม จะพิจารณาเฉพาะอัตราผลตอบแทนที่เป็น % หรืออัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว

  3. นำตัวเลขช่วงเวลาครบกำหนดชำระ (Maturity Period) มากำหนดใส่เป็นแกน X (แกนนอน) และผลตอบแทนที่คำนวณได้ มาใส่เป็นแกน Y (แกนตั้ง) ดังรููปตัวอย่างต่อไปนี้


image.png


เมื่อพิจารณาผลตอบแทน ทั่วไปจะพบว่าตัวเลขผลตอบแทนที่น้อยจะพบได้ในพันธบัตรที่มีกำหนดอายุรับซื้อคืนหลังขายในช่วงเวลาที่สั้น ขณะที่ถ้ากำหนดอายุรับซื้อคืนเป็นเวลานานหลังจากออกจำหน่าย ตัวเลขผลตอบแทนมักจะสูง หรือสรุปสั้น ๆ ว่าตัวเลขผลตอบแทนของพันธบัตรหนึ่ง ๆ โดยทั่วไปควรเป็นมูลค่าทวีขึ้นตามระยะเวลาถือพันธบัตร หรือตามอายุของพันธบัตร

วิธีประเมินอัตราผลตอบแทนพันธบัตร

สมมติพันธบัตร มีราคาหน้าตั๋ว 10,000 บาท อายุครบกำหนดชำระ 5 ปี ดอกเบี้ยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรกำหนดที่หน้าตั๋ว 15% จ่ายดอกเบี้ยปีละ 2 ครั้ง ครั้งละ 7.5%  (แบ่ง 15% เป็น 7.5% สำหรับจ่าย 2 ครั้ง) 


ดอกเบี้ยที่ได้รับในแต่ละงวด: 10,000 x 7.5% = 750 บาท


5 ปี คือ 10 งวด เท่ากับดอกเบี้ยได้รับ 7,500 บาท


มีค่าผลรวมดอกเบี้ยและมูลค่าไถ่ถอนที่ได้รับเป็นผลตอบแทน 7,500 + 10,000 = 17,500 บาท


ต้นทุนการเข้าถือพันธบัตร อาจจะเท่ากับราคาหน้าตั๋วหรือต่ำกว่าราคาหน้าตั๋วก็ได้ ซึ่งจะได้รับเงินคืนเต็มจำนวน บางส่วน หรือไม่ได้รับก็ได้เมื่อถึงกำหนดไถ่ถอน ขึ้นอยู่กับข้อตกลงในแต่ละพันธบัตร

รูปแบบของ Yield Curve ที่น่าสนใจมีอะไรบ้าง

Yield Curve มี 3 รูปแบบ

โค้งขึ้น (Upward-Sloping)

รูปแบบนี้เกิดขึ้นเมื่อพันธบัตรที่อายุครบกำหนดสั้นกว่ามีผลตอบแทนที่น้อยกว่า หากนำไปใช้ในการเปรียบเทียบระหว่างพันธบัตรสองฉบับ ฉบับหนึ่งอายุครบกำหนด 3 เดือน และอีกฉบับอายุครบกำหนด 30 ปี เมื่อฉบับที่ครบกำหนด 3 เดือนให้ผลตอบแทนน้อยกว่าฉบับที่ครบกำหนด 30 ปี จะสร้างเส้น Yield Curve ที่โค้งขึ้น 


เมื่อ Yield Curve มีลักษณะเป็น Upward-Slope ทางนักลงทุนจะคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะด้วยเหตุที่จะเกิดภาวะเงินเฟ้อตามมา และทำให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ซึ่งมีผลทำให้เกิดความเสี่ยงที่สูงมากขึ้นต่อภาคเศรษฐกิจในการกู้ยืมต่าง ๆ ผู้ที่นำเสนอขายพันธบัตรจึงต้องให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นตามมาเพื่อเป็นการดึงดูดให้คนกล้าที่จะนำเงินมาลงทุนในพันธบัตร และเป็นเหตุผลที่สัมพันธ์กับที่เรามักพบว่าผลตอบแทนของพันธบัตรที่สิ้นอายุในระยะยาวสูงกว่าพันธบัตรที่สิ้นอายุในระยะสั้น


image.png

โค้งลง (Downward-Sloping หรือ Inverted)

ผลตอบแทนไม่ได้แปรผันโดยตรงกับระยะเวลาครบกำหนดชำระเสมอไป รูปแบบของ Yield Curve แบบโค้งลงเกิดขึ้นเมื่อพันธบัตรที่อายุครบกำหนดสั้นกว่ามีผลตอบแทนที่มากกว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้ในบางครั้ง เวลาที่นักลงทุนเชื่อว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มจะชะลอการเติบโตลง ซึ่งอัตราดอกเบี้ยจะลดลงด้วยในอนาคต คนจะต้องการผลตอบแทนในระยะสั้นที่สูงขึ้น ปัจจุบันหรือระยะสั้นดูมีโอกาสที่ดีในการลงทุน และเชื่อว่าในระยะยาวผลตอบแทนจะลดลง 


หากตรวจพบว่า Yield คือผลตอบแทนในพันธบัตรระยะสั้นสูงกว่าระยะยาว สะท้อนว่าคนในตลาดรวมถึงผู้ออกพันธบัตรคงจะมองเห็นถึงเศรษฐกิจที่กำลังหดตัว และในกรณีเลวร้ายคือวิกฤติเศรษฐกิจอาจกำลังจะเกิดขึ้น คนไม่ได้หวังกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง คนที่ลงทุนได้เร่งลงทุน ไม่ว่าจะเป็นบุคคล บริษัทหรือองค์กร 


image.png


แบบคงที่ (Flat)

รูปแบบนี้เกิดขึ้นเมื่อพันธบัตรอายุครบกำหนดสั้นกว่า มีผลตอบแทนที่ประมาณการณ์ใกล้เคียงกับพันธบัตรที่อายุครบกำหนดยาวกว่า รูปแบบ Yield Curve ที่เป็นไปในแนวราบมักจะแสดงถึงเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างสภาพเศรษฐกิจที่เติบโตไปสู่การชะลอตัว หรือจากการชะลอตัว เริ่มจะปรับเปลี่ยนเป็นมีการเติบโตเพิ่มขึ้น เป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน


หากต้องการลงทุนเมื่อตรวจพบ Yield Curve คงที่ การเลือกลงทุนในพันธบัตรที่ครบกำหนดชำระในระยะเวลาสั้นกว่าจะมีความเสี่ยงต่ำกว่า



image.png

Yield Curve อย่างเดียว เพียงพอกับการตัดสินใจไหม

Yield Curve ให้ข้อมูลว่าแนวโน้มตลาดจะเป็นอย่างไรในอนาคต และทำให้เรารู้ว่าควรจะหวังผลตอบแทนวันนี้ หรือซื้อพันธบัตรระยะยาวเพราะผลตอบแทนในอนาคตคุ้มค่า 


อย่างไรก็ตาม Yield Curve เพียงอย่างเดียวไม่เหมาะที่จะนำมาใช้กำหนดพฤติกรรมการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอเป็นดอกเบี้ย เพราะ Yield Curve เองไม่สามารถระบุดอกเบี้ยคาดหวังที่เหมาะสมออกมาเป็นตัวเลข ขณะที่นักลงทุนก็ไม่รู้ดอกเบี้ยเงินฝากที่แน่นอนในอนาคตซึ่งจะถูกนำมาใช้เปรียบเทียบกับดอกเบี้ยผลตอบแทน เพราะอัตราดอกเบี้ยจะถูกกำหนดโดยธนาคารกลางในอนาคต 


พร้อมกันด้วยเหตุผลว่า Yield Curve สามารถเปลี่ยนไปมาระหว่าง 3 รูปแบบได้ด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจที่สัมพันธ์กับปัจจัยทางสังคมและการเมืองด้วย การปรับเปลี่ยนอาจยากที่จะจับได้อย่างชัดเจน ดังนั้นเทคนิคหนึ่งที่จะลดความเสี่ยงในการลงทุน หรือทำให้หาประโยชน์ได้สูงสุด จะต้องเป็นการจัดพอร์ตลงทุนให้มีการกระจายความเสี่ยง มีทั้งพันธบัตรระยะสั้นและระยะยาว ถือพันธบัตรที่ผู้ออกไม่ใช่แหล่งเดียวกัน และมีการรับรองความน่าเชื่อถือในระดับที่ยอมรับความเสี่ยงได้


ด้วยนักลงทุนแต่ละคน มีช่วงเวลาที่จะนำผลตอบแทนไปใช้จ่าย การตัดสินใจลงทุนต้องคิดถึงเวลาที่มีหรือเหลืออยู่ในช่วงชีวิต กับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ตัวอย่างเช่น หากอยู่ในช่วงวัยหนุ่มสาว และเศรษฐกิจมีแนวโน้มว่ากำลังเติบโต การลงทุนในพันธบัตรที่ครบกำหนดในอีก 30 ปีข้างหน้า ซึ่งมีผลตอบแทนโดยรวมมากกว่าพันธบัตรระยะสั้น สามารถเป็นตัวเลือกที่ดี ในขณะที่คนในวัยเกษียณอาจตัดตัวเลือกนี้ทิ้งไปเพราะไม่สามารถอยู่รับผลประโยชน์ได้



เฉพาะระยะเวลาเองก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น การลงทุนในระยะสั้น อัตราดอกเบี้ยผลตอบแทนที่เห็นได้เทียบกับดอกเบี้ยเงินฝากที่รับทราบและระดับเงินเฟ้อ มักจะทำให้การลงทุนไม่สูญเสียมูลค่าที่อ้างอิงอำนาจในการซื้อไปมากนักเมื่อเทียบกับการลงทุนในระยะยาว การลงทุนในระยะยาวมีความเสี่ยงที่สูงกว่าเสมอด้วยอัตราเงินเฟ้อที่สะสมจะกัดกร่อนอำนาจซื้อของมูลค่าผลตอบแทน แม้จะได้ผลตอบแทนที่สูงในตอนท้าย แต่เงินเฟ้อในตอนที่รับผลตอบแทนอาจจะทำให้ไม่รู้สึกว่ามั่งคั่งขึ้นก็ได้ ดังนั้นสำหรับคนที่รับความเสี่ยงสูงไม่ได้ ก็อาจวางแผนคิดถึงการลงทุนในพันธบัตรระยะสั้นมากกว่าพันธบัตรระยะยาว และรวมไปถึงลงทุนในพันธบัตรที่ได้รับการประเมินความน่าเชื่อถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีถึงดีมาก 

ใช้ Yield Curve กับอะไรได้บ้าง

การใช้ Yield Curve สามารถประยุกต์ใช้กับสินทรัพย์ทางการเงินที่ให้ผลตอบแทนเป็นเงินคงที่สม่ำเสมอ หรือกล่าวคือ ผลตอบแทนอยู่ในรูปดอกเบี้ย อาทิ



  • ตั๋วเงินคลัง (Treasury Bill) เป็นตราสารหนี้ระยะสั้นอายุไม่เกิน 1 ปี ออกโดยกระทรวงการคลัง โดยจุดประสงค์คือเพื่อกู้ยืมเงินระยะสั้นจากประชาชนไปให้รัฐบาล ซึ่งกรณีของตั๋วเงินคลัง ไม่ได้มีดอกเบี้ยแต่ว่าจะขายที่ราคาต่ำกว่าหน้าตั๋ว และซื้อคืนที่ราคาหน้าตั๋วเมื่อครบกำหนดสัญญา

  • พันธบัตรรัฐบาล (Government Bond) เป็นตราสารหนี้ที่ออกโดยองค์กรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ที่พบเห็นอยู่บ่อยครั้ง คือพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย พันธบัตรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งพันธบัตรประเภทนี้จะได้รับการค้ำประกันจากรัฐบาลเพื่อความน่าเชื่อถือ มีความเสี่ยงผิดนัดชำระดอกเบี้ยและเงินต้นต่ำ แต่เนื่องจากอัตราผลตอบแทน พันธบัตรรัฐบาล ที่ให้ อาจถูกลดทอนมูลค่าด้วยระดับเงินเฟ้อระหว่างช่วงเวลาก่อนถึงวันครบกำหนดชำระ จึงมีความเสี่ยงด้านราคาพันธบัตรรัฐบาลที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของดอกเบี้ยว่าไม่คุ้มมูลค่าที่ถูกกัดกร่อนเมื่อมีการซื้อคืน

  • พันธบัตรเอกชน หรือ ตราสารหนี้ภาคเอกชน (Corporate Bond) ออกโดยบริษัทหรือองค์กรเอกชนเพื่อระดมทุนไปใช้ในการดำเนินงานโครงการต่าง ๆ โดยตราสารหนี้ประเภทนี้จะมีการจัดระดับความเสี่ยง/ระดับความน่าเชื่อถือ ตราสารหนี้ที่ “เสี่ยงมาก” จะมีผลตอบแทน ตราสารหนี้ “สูง” โดยความเสี่ยงที่เผชิญจะเป็นการผิดชำระการจ่ายดอกเบี้ยและคืนเงินต้นหากธุรกิจไม่สามารถดำเนินการได้ดังคาด ขณะที่ตราสารหนี้ที่ได้จัดระดับความน่าเชื่อถือสูงหรือความเสี่ยงต่ำมักมีผลตอบแทนที่ต่ำลงไปด้วย แต่เพื่อให้ดึงดูดใจและชดเชยความเสี่ยงที่มากกว่าพันธบัตรรัฐบาล ผลตอบแทนจะถูกกำหนดให้สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลเสมอ และการถือพันธบัตรนี้ยังมีความเสี่ยงด้านราคาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของดอกเบี้ยนโยบายและเงินเฟ้อเช่นกัน

  • CDs (Credit Default Swap) เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงของตราสาร มีลักษณะเป็นสัญญาที่ผู้ซื้อหลักทรัพย์ที่เข้าลักษณะตราสารสามารถซื้อได้ โดยจะทำให้ได้รับเงินกรณีที่ผู้ออกตราสารผิดสัญญาและไม่สามารถชำระเงินได้ โดยผู้ที่ออก CDs จะต้องชำระแทนโดยอาจจะเต็มจำนวนหรือตามแต่ที่ตกลงกันไว้ เรียกว่า Protection Leg หรือจะกล่าวว่า CDs คือสัญญาประกันภัยสำหรับผู้ซื้อตราสารก็ไม่ผิดนัก โดยสถาบันหรือองค์กรที่ออก CDs จะได้รับค่าตอบแทนเรียกว่า Premium Leg โดยผู้ซื้อ CDs อาจชำระเงินครั้งเดียว หรือชำระรายงวดตลอดอายุของพันธบัตรคู่สัญญา


Laddering Bonds กลยุทธ์ที่ลงตัวสำหรับการลงทุนในพันธบัตร


สำหรับนักลงทุนที่มีงบประมาณอยู่ในมือ แทนที่จะเลือกลงทุนในตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้เอกชน หรือ CDs ตัวใดตัวหนึ่ง สามารถใช้กลยุทธ์ Laddering Bonds เลือกที่จะลงทุนพร้อมกันในสิ่งเหล่านี้หลาย ๆ ฉบับโดยแต่ละฉบับมีอายุแตกต่างกัน และเมื่อมีฉบับที่ครบกำหนดชำระผลตอบแทนก่อน ก็นำเงินที่ได้ไปลงทุนซ้ำ และทำต่อเนื่องซ้ำ ๆ เรื่อย ๆ


ตัวอย่าง มีตั๋วเงินคลัง 3 ฉบับ ฉบับแรกอายุครบกำหนดชำระ 1 ปี อัตราผลตอบแทน 1% ส่วนฉบับที่สอง อายุครบกำหนดชำระ 3 ปี อัตราผลตอบแทน 2% และฉบับที่สาม ตั๋วเงินคลังอายุครบกำหนดชำระ 5 ปี อัตราผลตอบแทน 3% หากมีเงินสำหรับลงทุน 30,000 บาท จะได้รับผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 2% (จาก 1%+2%+3% และหารด้วย 3) ถ้าหากว่าเวลาผ่านไปและดอกเบี้ยที่ประกาศจากธนาคารกลางเพิ่มขึ้น 1% นักลงทุนสามารถนำเงินที่ได้จากตั๋วเงินคลังฉบับแรกไปลงทุนในตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้เอกชน หรือ CDs อีกตัว โดยหากคิดว่าระยะเวลาครบกำหนดที่ยอมรับได้โดยเฉลี่ยคือ 2 ปี ตัวที่สี่ในแผนการลงทุน ก็ซื้อโดยให้ได้รับเงินอีก 2 ปีต่อจากตั๋วเงินคลังฉบับที่สามครบกำหนดชำระ และเมื่อตั๋วเงินคลังฉบับที่สองครบกำหนดชำระ ก็ลงทุนในตัวที่ห้า โดยเลือกที่อายุรับผลตอบแทนได้รับเงินต่อจากตัวที่สี่ถัดไปอีก 2 ปี


เพื่อให้เข้าใจ Bond Ladders ได้ดีขึ้น สามารถดูตาราง Timeline ด้านล่างนี้


บทส่งท้าย

Yield Curve เป็นกราฟที่ต้องรู้จักหากสนใจลงทุนในสินทรัพย์ที่มุ่งหวังการรับกระแสเงินสดอย่างสม่ำเสมอ โดยจะทำให้พยากรณ์เศรษฐกิจได้ คาดการณ์ได้ว่าสมควรตัดสินใจลงทุนหรือไม่ มีเหตุผลในการเลือกลงทุนในระยะสั้นหรือยาว โดยหากพบว่า Yield Curve เป็นลักษณะของเส้นโค้งที่มีความชันเพิ่มขึ้น การลงทุนในระยะยาวที่มีความเสี่ยงสูงจะน่าดึงดูด อย่างไรก็ตาม Yield Curve เพียงอย่างเดียวไม่ใช่องค์ประกอบหลักในการตัดสินใจ ต้องคำนึงถึงการกระจายความเสี่ยง ผลตอบแทนที่คาดหวังเป็นเปอร์เซ็นต์ส่วนบุคคล ความสม่ำเสมอของผลตอบแทน ซึ่งกลยุทธ์ที่ดีในโลกของการลงทุนคือ Laddering Bonds ที่เน้นการลงทุนอย่างต่อเนื่องแบบมีระบบ ช่วยลดความเสี่ยงจากอนาคตที่ไม่แน่นอน และส่งผลให้การลงทุนมีผลตอบแทนที่สม่ำเสมอแก่นักลงทุน

โบนัสเงินคืนเพื่อช่วยให้นักลงทุนเติบโตในโลกของการเทรด!

ต้นทุนและค่าธรรมเนียมการเทรดเดโม

คุณต้องการความช่วยเหลือหรือไม่?

7×24 H

ดาวน์โหลดแอป
ไอคอนการให้คะแนน

ดาวน์โหลดแอป ฟรีเลย