กลยุทธ์เทรด Options แห่งปี 2022 เป็นแบบไหน?

Options คือตราสารประเภทหนึ่งซึ่งทำให้นักลงทุนสามารถเก็งกำไรจากหุ้นได้นอกเหนือจากการซื้อมาขายไปในท้องตลาด แต่เดิม Options มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ต้องการซื้อหรือขายหุ้น แต่ยังไม่มีการส่งมอบหุ้นในทันที อาจเกิดจากการที่ผู้ซื้อยังไม่สามารถหาเงินมาได้และต้องการจองหุ้นไว้ก่อน โดยมีการส่งมอบหุ้นจากผู้ขายทีหลัง ตราสารในกรณีของการวางเงินประกันจองซื้อหุ้นที่ราคาหนึ่งเรียกว่า สัญญาที่ให้สิทธิล่วงหน้าในการซื้อ (Call Options) ซึ่งทางฝั่งผู้ซื้อมักจะมองว่าราคาของหุ้นจะขึ้นในภายหลัง ถ้าใช้สิทธิเมื่อถึงเวลากำหนดก็จะได้หุ้นราคาถูกกว่าราคาตลาดและทำกำไรได้ ส่วนอีกกรณีหนึ่ง สัญญาที่ให้สิทธิล่วงหน้าในการขาย (Put Options) สำหรับผู้ขายที่มองว่าราคาหุ้นอาจจะลดต่ำลง จะผูกมัดผู้ซื้อว่าตนจะขายที่ราคาที่กำหนดไว้ในตราสารเมื่อถึงเวลาที่กำหนด เมื่อใช้สิทธิก็จะได้ขายหุ้นราคาเท่ากับหรือสูงกว่าราคาตลาด
ถ้าราคาไม่เป็นไปตามที่คาด ผู้ถือสัญญาจะไม่ใช้สิทธิและทิ้งสัญญาก็ได้ เพราะการเข้าซื้อในตลาดโดยตรงจะได้รับหุ้นที่มีราคาต่ำกว่าสำหรับผู้ซื้อ และการขายในตลาดโดยตรงจะได้รับผลตอบแทนสูงกว่าสำหรับผู้ขาย โดยต้นทุนของการทิ้งสัญญาคือ ค่าธรรมเนียมของ Options ซึ่งเรียกกันว่า Premium
ปัจจุบัน Options ยังถูกใช้เพื่อรับประกันราคาถ้านักลงทุนมีหุ้นอยู่ในมือจริง ๆ แต่ก็ได้ถูกนักลงทุนหุ้นส่วนหนึ่งมองว่าเป็นหลักทรัพย์สำหรับเก็งกำไรไปด้วยพร้อม ๆ กัน ซึ่งในการเก็งกำไร Options ต่างกันกับการเทรดหุ้น หรือ Future ตรงที่สามารถจะเลือกใช้หรือไม่ใช้สิทธิก็ได้
อ่านเพิ่มเติม::: Options กับ Futures เหมือนหรือต่างกันอย่างไรบ้าง
นักเทรดหลายท่านมองหาวิธีเทรด Options ยังไง ให้ได้กำไรที่สุด หรือเทรด Options แบบไหน ได้กำไรที่สุด ลองอ่าน 10 ยอดกลยุทธ์เทรด Options ที่พลาดไม่ได้ ซึ่งบรรดามือเทรดชั้นเซียนล้วนได้ใช้กลยุทธ์เหล่านี้มาแล้ว
10 ยอดกลยุทธ์เทรด Options
การขาย Call Option ในขณะที่มีหุ้นอยู่ในมือ (Covered Call)
ทำแบบนี้จะได้ประโยชน์เป็นค่า Premium เลยจากคนที่ซื้อ Call Options ไป และถ้าหากว่าราคาหุ้นอ้างอิง (Strike Price) ต่ำกว่าในสัญญา ณ วันกำหนดส่งมอบหุ้น จะไม่ต้องขายหุ้นตามภาระผูกพัน ทำให้ไปรอขายในภายหลังได้เองเมื่อราคาสูงขึ้น หรือถ้าหากว่าราคาหุ้นสูงกว่าในสัญญา ณ วันกำหนดส่งมอบหุ้น จะต้องมอบหุ้นให้กับผู้ที่ใช้สิทธิ Call Options ที่ราคาต่ำกว่าตลาด แต่ได้ค่า Premium มาก่อนแล้ว ซึ่งค่า Premium จะชดเชยส่วนต่างของตลาด ณ ปัจจุบันที่พลาดไปได้บ้าง
กลยุทธ์รอขายแบบมีคู่ Option (Married Put)
เมื่อซื้อหุ้นแล้วก็ซื้อ Put Options ไปด้วยเลย ซึ่งจะได้สิทธิในการขายที่ราคาตามที่กำหนด (Strike Price) ทำแบบนี้เหมือนถือประกันให้กับหุ้นของตัวเอง ขายที่ราคามากกว่าได้ตามปกติ ซึ่งต้นทุนของการใช้วิธีการนี้ก็คือต้นทุนค่า Premium นั่นเอง
กลยุทธ์มุ่งเป้าตลาดขาขึ้น (Bull Call Spread)
จากการคาดการณ์ว่าราคาจะสูงขึ้นอย่างแน่นอนแต่จะขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป จึงทำ long call คือเข้าซื้อ Call Option ซะเองคู่กับการขาย Call Option ที่มี Strike Price ที่สูงกว่า โดยทั้งสอง Option หมดอายุวันเดียวกัน ในเริ่มแรกเราจะได้รับค่า Premium จากการขาย Option ซึ่งทำให้ต้นทุนการซื้อหุ้นของเราต่ำลง แล้วหลังจากเวลาผ่านไป Call Option ที่เราซื้อไว้ เราใช้มันรักษาระดับราคาหุ้นของเราไว้ได้ และเมื่อ Call Option ที่เราขายมีการใช้สิทธิที่ Strike Price ในอนาคต นักเทรดจะได้กำไร แต่การทำเช่นนี้นั้นจะจำกัดกำไรของนักเทรดให้อยู่ที่แค่ผลต่างของ Strike Price ของคู่ Call Options ที่เราซื้อขายนั่นเอง
กลยุทธ์มุ่งเป้าตลาดขาลง (Bear Put Spread)
จากการคาดการณ์ว่าราคาจะต่ำลงอย่างแน่นอนแต่ค่อยเป็นค่อยไป และต้องการจำกัดผลตอบแทนในเวลาตลาดขาลง ดังนั้นจึงทำ long put หรือการซื้อ Put Option ที่ Strike Price ราคาหนึ่ง คู่กับการขาย Put Option ที่มี Strike Price ที่ราคาต่ำลงไป ทั้งสอง Option นี้จะหมดอายุในวันเดียวกัน จะได้กำไรสูงสุดเท่ากับส่วนต่างระหว่าง Strike Price ระหว่าง Put Option ทั้งสอง หักค่า Premium
กลยุทธ์ปลอกคอป้องกัน (Protective Collar)
การซื้อ Put Option ที่เรียกว่า Out-of-the-money (OTM) Put Option (ราคาใช้สิทธิต่ำกว่าราคาตลาดหลักทรัพย์อ้างอิง) พร้อมกับซื้อ Call Option ที่เรียกว่า Out-of-the-money (OTM) Call Option (ราคาใช้สิทธิสูงกว่าราคาตลาดหลักทรัพย์อ้างอิง) ทั้งสอง Option ระบุวันหมดอายุเดียวกันสำหรับหุ้นที่นักลงทุนมีอยู่ในมือ นี่เป็นกลยุทธ์เมื่อการถือหุ้นยาว ๆ ได้รับผลตอบแทนสูงมากแล้วและนักลงทุนต้องการปกป้องส่วนต่างด้านราคา และล็อคราคาขายให้สูงไว้
กลยุทธ์คร่อมยาว (Long Straddle)
การซื้อ Call Option และ Put Option สำหรับหุ้นตัวเดียวกันที่ Strike Price เดียวกัน มีวันหมดอายุเดียวกัน นักลงทุนมักจะใช้กลยุทธ์นี้เมื่อพวกเขาเชื่อว่าราคาของหุ้นจะเคลื่อนที่ออกไปนอกขอบเขตที่คาดหวัง หรือการเคลื่อนไหวของราคาเป็นไปอย่างรุนแรงนั่นเอง โดยนักลงทุนเดาไม่ได้ว่าจะมีทิศทางเป็นขาขึ้นหรือขาลง
กลยุทธ์รัดคอยาว (Long Strangle)
วิธีการนี้คล้ายกับ Long Strangle นักลงทุนซื้อ Out-of-the-money (OTM) Put Option เพื่อใช้สิทธิต่ำกว่าราคาตลาดหลักทรัพย์อ้างอิงและ Out-of-the-money (OTM) Call Option เพื่อใช้สิทธิสูงกว่าราคาตลาดหลักทรัพย์อ้างอิง ที่วันหมดอายุเดียวกันด้วย แต่การทำ Long Strangle ใช้ต้นทุนน้อยกว่า Long Straddle เนื่องจาก Out-of-the-money จะมีค่า Premium ต่ำกว่า
กลยุทธ์ Long Call กระจายรูปแบบผีเสื้อ (Long Call Butterfly Spread)
ใช้ในกรณีที่นักลงทุนคาดว่าราคาจะเคลื่อนที่อยู่ในกรอบแคบ ๆ เน้นการจำกัดผลขาดทุน โดยการขาย Call Option ที่ Strike Price จำนวน 2 สัญญา พร้อมกับซื้อ In-the-money (ITM) Call Option เพื่อใช้สิทธิต่ำกว่าราคาตลาดหลักทรัพย์อ้างอิง และ Out-of-the-money (OTM) Call Option เพื่อใช้สิทธิสูงกว่าราคาตลาดหลักทรัพย์อ้างอิง อีกอย่างละ 1 สัญญา รวมแล้วมี Options 4 สัญญา มีราคาต่างกัน 3 ราคา โดยมีช่วงห่างเท่า ๆ กัน จากการขาย Call Option ทางนักลงทุนจะได้ค่า Premium มาก่อน และกรณีที่ราคาหุ้นไม่เคลื่อนออกจากกรอบหักลบกับขาดทุน Premium สำหรับ ITM และ OTM จะได้สุทธิกำไร แต่ถ้าหุ้นเคลื่อนที่ออกจากรอบ ยิ่งเคลื่อนไปที่ไกลมาก กำไรก็จะน้อยลง
กลยุทธ์คอนดอร์เหล็ก (Iron Condor)
นักลงทุนถือ bull put spread สำหรับขาขึ้นโดยผ่านการขายสัญญา Out-of-the-money put เพื่อใช้สิทธิต่ำกว่าราคาตลาดหลักทรัพย์อ้างอิง และซื้อสัญญา Out-of-the-money put ไว้เองด้วย และยังถือ bear call spread สำหรับขาลงโดยผ่านการขายสัญญา Out-of-the-money Call Option เพื่อใช้สิทธิสูงกว่าราคาตลาดหลักทรัพย์อ้างอิง และซื้อสัญญา Out-of-the-money Call Option ไว้เองด้วย โดย Option ทั้งหมดนี้มีวันหมดอายุเหมือนกันและสินทรัพย์อ้างอิงเดียวกัน เมื่อทำแบบนี้ไม่ว่าจะในภาวะตลาดขาลงหรือขาขึ้น ความกว้างสเปรตจะเท่ากัน และจะได้รับกำไรจากส่วนต่างของค่า Premium ซึ่งกลยุทธ์นี้ถูกออกแบบมาสำหรับกรณีที่หุ้นมีความผันผวนต่ำ ผู้เล่นหลายรายใช้กลยุทธ์นี้เพื่อจะยังทำกำไรอยู่ได้ แม้จะไม่เยอะก็ตาม ความเสี่ยงของกลยุทธ์นี้คือสามารถทำกำไรได้ดีในช่วงความต่างของราคาที่แน่นอน ถ้าไปทะยานไกลกว่าที่ Options ซึ่งมีอยู่ครอบคลุมเป็นประกันก็จะทำให้ขาดทุนมากกว่าระดับความต่างของค่า Premium ที่คาดหวังว่าจะได้รับ
กลยุทธ์ผีเสื้อเหล็ก (Iron Butterfly)
นักลงทุนจะขาย At-the-money Put Option ซึ่งเป็นราคาใกล้เคียงตลาด (Put Option) และซื้อ Out-of-the-money Put Option เพื่อใช้สิทธิต่ำกว่าราคาตลาดหลักทรัพย์อ้างอิง และในเวลาเดียวกัน ก็จะขาย At-the-money Call Option (Call Option) และซื้อ Out-of-the-money Call Option เพื่อใช้สิทธิสูงกว่าราคาตลาดหลักทรัพย์อ้างอิง โดยทั้งหมดอ้างอิงหุ้นเดียวกัน หมดอายุวันเดียวกัน โดย Call Option และ Put Option ทำงานในทิศทางตรงกันข้ามกัน ตัว Out-of-the-money Call Option จะป้องกันการลดมูลค่าลงแบบไม่มีข้อจำกัด ส่วน Out-of-the-money Put Option จะป้องกันมูลค่าลดลงจากราคาที่กำหนดไว้หรือไม่ให้มีการลดลงเลย กำไรและขาดทุนทั้งคู่ถูกจำกัดไว้ในช่วงระดับราคาที่แน่นอน ขึ้นอยู่กับ Strike Price ของ At-the-money put และ Call Option ที่ใช้ มีเอาไว้กรณีที่ต้องการรับกำไรเวลาหุ้นไม่ผันผวนมากนัก กำไรสูงสุดจะเกิดขึ้นเมื่อราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ Strike Price ของ Call Option และ Put Option ซึ่งขายออกไป คือเป็นค่าของ net Premium ที่ได้รับไปนั่นเอง ส่วนขาดทุนที่มากที่สุดเกิดขึ้นเมื่อราคาหุ้นอยู่สูงกว่า Strike Price ของ Call Option หรือต่ำกว่า Strike Price ของ Put Option
กลยุทธ์เทรด Options แบบไหน ได้กำไรที่สุด?
เดวิด จาฟฟี่ (David Jaffee) เป็นนักเทรด Options ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในวงการเงิน เขาได้เอ่ยว่ากลยุทธ์เทรด Options ที่ดีที่สุด คือการขาย Out-of-the-money Put Option เพื่อใช้สิทธิต่ำกว่าราคาตลาดหลักทรัพย์อ้างอิง และ Out-of-the-money Call Option เพื่อใช้สิทธิสูงกว่าราคาตลาดหลักทรัพย์อ้างอิง กลยุทธ์การเทรดแบบนี้มีโอกาสที่นักลงทุนจะได้กำไรสูงทีเดียว รายรับแรกสุดจากการขาย Option นักลงทุนจะได้ Premium และมีโอกาสที่ผู้ซื้อจะไม่ได้ขอใช้สิทธิจนวันหมดอายุเพราะราคาหลักทรัพย์สูงขึ้นหรือต่ำลงไม่มากกว่าขอบเขตของราคาอ้างอิงที่กำหนดในสัญญา ทางเดวิดยังได้ชี้อีกว่ามีผู้สอนเทรดหลายคนแนะนำให้เปิดสัญญาจำนวนมาก แต่เขาเห็นว่าการเปิดสัญญาน้อยครั้งและรออย่างอดทนนั้นส่งผลให้มีโอกาสสูญเสียเงินต้นทุนน้อยลง และทำกำไรได้อย่างน่าประทับใจ
ข้อดี - ข้อเสียของการเทรด Options
ข้อดี
ต้นทุนน้อยกว่า ผลตอบแทนใกล้เคียงกับหุ้น
คาดว่าหุ้นตัวหนึ่งจะขึ้นอย่างแน่นอนในอีกหลายเดือนข้างหน้า ดังนั้นแทนที่จะชำระเงินเลยวันนี้ เมื่อคำนวณแล้วในอนาคตหุ้นจะขึ้นไปจนให้กำไรสูงกว่าต้นทุนค่า Premium สำหรับ Options ที่จ่ายไป ลงทุนซื้อ Options เอาไว้ ในอนาคตที่มาถึงอีกหลายเดือนข้าง นอกจากจะมีเงินชำระค่าหุ้นที่จะได้มาไว้ในครอบครองแล้ว ยังสามารถทำกำไรบนความต่างของราคาที่เกิดขึ้นด้วย เพราะได้หุ้นมาในราคาถูกกว่าในตลาด
ความเสี่ยงน้อยกว่า (ถ้ามีความเข้าใจและใช้งานอย่างเหมาะสม)
ในการเทรดหุ้น สามารถตั้งค่า stop-loss เอาไว้ได้ คือเป็นการตั้งราคาที่จะทำการขายอัตโนมัติเพื่อป้องกันไม่ให้ขาดทุน ซึ่งภายในชั่วข้ามคืน ระบบอาจจะทำการขายหุ้นไประหว่างที่ผู้ถือหุ้นนอนหลับก็ได้โดยรับเอาราคาตลาดเปิดตอนเช้าซึ่งนำการขาดทุนมาให้ ตรงนี้เป็นความเสี่ยงที่ผู้เล่น Options จะไม่ได้พบ ตัว Options เองทำงานครอบคลุม 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ การซื้อ in-the-money Call Option ที่ราคาอ้างอิงใกล้เคียงกับราคาหลักทรัพย์อ้างอิง ค่าธรรมเนียมที่คุณชำระไปก็น้อยกว่าราคาหลักทรัพย์อ้างอิงหรือหุ้นมากเสมอ เป็นผลให้คุณสูญเสียเงินมากที่สุดก็คือแค่ค่า Premium และค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมอื่น ๆ ถ้ามีอีกเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ใช่มูลค่าหุ้นทั้งหมดเหมือนที่เกิดขึ้นได้กับกรณี stop-loss ในกลุ่มผู้ถือหุ้น
ผลตอบแทนเป็นไปได้มากกว่า
คุณจ่ายเงินน้อยแต่โอกาสที่จะได้รับผลกำไรนั้นมากกว่า ยังไม่รวมถึงต้นทุนค่าเสียโอกาสที่ต่ำลงจากการที่คุณไม่นำเงินไปซื้อหุ้นทันที แต่ซื้อ Options แทน ทำให้คุณมีช่วงเวลาที่สามารถใช้เงินก้อนเดียวกันนอกเหนือจากค่า Premium ไปทำอย่างอื่น
มีกลยุทธ์การลงทุนให้เลือกมากมาย
วิธีการมากมายที่ใช้กันในกลุ่มผู้ถือหุ้นและนักลงทุนในหุ้น อย่างที่เราเห็นกันไปแล้วถึงกลยุทธ์เทรด Options ที่นำเสนอไว้ ซึ่งที่อ่านมายังไม่ใช่ทั้งหมด ยังมีวิธีอื่น ๆ อีกมาก แต่สำหรับนักลงทุนรายใหญ่ที่มีเงินหนาเอง บางรายสนใจการเล่นแบบชอร์ต คือการยืมหุ้นคนอื่นมาตอนช่วงราคาถูกและขายในช่วงราคาแพง ก่อนจะรอราคาหุ้นถูกลงอีกครั้งเพื่อจะขายอื่น ซึ่งมักมีการเรียกมาจิ้นค่อนข้างสูงในการเทรด รวมถึงบางโบรคเกอร์ไม่อนุญาตให้ทำได้ ก็สามารถใช้ Options เพื่อกำหนดกลยุทธ์ที่ให้ผลใกล้เคียงกับการชอร์ตได้โดยที่มีต้นทุนน้อยกว่าด้วย
ข้อเสีย
สภาพคล่องต่ำ
สัญญา Options ของหุ้นแต่ละตัวมีปริมาณไม่มากนัก หุ้นแต่ละตัวมีการซื้อขาย Options ในที่ราคาใช้สิทธิและวันหมดอายุที่แตกต่างกันหลากหลาย สะท้อนให้เห็นว่าจริง ๆ แล้วปริมาณการซื้อขายที่สร้างตลาด Options ขึ้นมานั้นมีปริมาณต่ำมาก ยกเว้นแต่จะเจอหุ้นหรือดัชนีหุ้นซึ่งได้รับความนิยมมาก อย่างไรก็ตามเรื่องสภาพคล่องต่ำหรือมีตัวเลือกน้อยนี้ไม่ได้มีผลนักกับนักลงทุนรายย่อย
สเปรดที่สูงขึ้น
Options มักจะมีช่วงราคาที่สูงเพราะขาดสภาพคล่อง ซึ่งนักลงทุนที่มีหุ้นในมือจะมีค่าใช้จ่ายทางอ้อมมากขึ้นเมื่อทำการซื้อขาย เพราะว่าหากมีการใช้สัญญา นักลงทุนเท่ากับว่ายอมรับช่วงราคาหนึ่งตามสัญญา Option ที่ขายไปว่าตนจะไม่สามารถทำกำไรจากการซื้อขายหุ้นได้
ค่าคอมมิชชั่นที่สูงขึ้น
การเทรด Options จะมีต้นทุนต่อราคาหุ้น 1 ดอลลาร์ และอาจจะแพงขึ้นอีกสำหรับช่วงราคาที่คุณต้องการจะได้รับผลตอบแทน ยิ่งเป้าหมายเป็นทั้งขาขึ้นและลง ค่าคอมมิชชั่นก็ยิ่งแพงขึ้นไปอีก
ความซับซ้อน
Options มีความซับซ้อนในการทำความเข้าใจ จริง ๆ แล้วไม่เหมาะสำหรับมือใหม่ เพราะต้องเข้าใจเรื่องการคำนวณสเปรด และการคาดคะเนการเคลื่อนไหวของตลาดในอนาคต ซึ่งเมื่อมีเรื่องอนาคตเข้ามาเกี่ยวข้อง และยิ่งเป็นเวลาที่ห่างออกไปในอนาคต ยิ่งเป็นการยากที่จะพยากรณ์ได้อย่างแม่นยำ
การสูญเสียมูลค่าตามระยะเวลา
เมื่อซื้อ Options ที่หวังผลการใช้ในอนาคต ตามหลักการเงินแล้วมีเรื่องมูลค่าของเงินระหว่างเวลามาเกี่ยวข้อง ยิ่งเวลาผ่านไป ผลของเงินเฟ้อจะทำให้เงินแต่ละหน่วยมีมูลค่าน้อยลง เมื่อคุณถือ Options ไว้ เวลาที่ผ่านไปก็ทำให้ราคา Strike Price ที่เราคาดว่าจะทำกำไรให้นั้น แท้ที่จริงแล้วอาจจะทำกำไรโดยสูญเสียมูลค่าของเงินแต่ละหน่วยเพราะเวลาที่ผ่านไป
ข้อมูลที่มีน้อย
Options ในตลาดมีจำนวนไม่มากสำหรับหุ้นแต่ละตัว ทำให้ข้อมูลไม่เพียงพอ เป็นเรื่องยากในการกำหนดราคาของ Options อย่างเหมาะสม หรือทำการวิเคราะห์อย่างละเอียดเพื่อความมั่นใจในการตัดสินใจ
ตัวเลือกที่ไม่ได้ครอบคลุมหุ้นทั้งหมด
ไม่ใช่หุ้นทุกตัวที่คุณสนใจจะมี Options ออกขายให้เมื่อคุณสนใจหุ้น ดังนั้นโอกาสในการทำกำไรด้วย Options จึงไม่ครอบคลุมหุ้นทุกตัว
บทส่งท้าย
Options เป็นหลักทรัพย์ที่มีหน้าที่หลักในการป้องกันความเสี่ยงสำหรับผู้ถือหุ้น หรือผู้ที่ต้องการเข้าถือหุ้น ตั้งแต่เริ่มต้นจะเข้าถือหุ้น หากเข้าใจเรื่อง Options จะเท่ากับได้หนทางในการทำกำไรมากกว่าเล่นหุ้นอย่างเดียว โดยตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว แทนที่จะจ่ายเงินซื้อหุ้นในจำนวนเต็มก็มีหนทางที่จะได้หุ้นในราคาที่ลดลง แล้วนำเงินจำนวนที่มีไปใช้ประโยชน์อื่น ๆ และพอได้หุ้นมาไว้ในมือ เพื่อให้การขายและกำไรเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ ก็เป็นการดีที่จะซื้อหรือขาย Options โดยกลยุทธ์ที่เลือกใช้กันมีหลายหลาก ถ้าอ่านมาจนถึงตอนนี้ มีถึง 10 กลยุทธ์เทรด Options ที่ดีที่สุดให้คุณเลือกแล้ว
อย่างไรก็ดีคำแนะนำจากมืออาชีพที่นำมาบอกต่อจากเดวิด จาฟฟี่ว่าสุดยอดกลยุทธ์คือ การขาย Out-of-the-money Put Option หรือ Out-of-the-money Call Option แสดงให้เห็นว่าแม้หลายคนมองหาความผันผวนเพื่อจะทำกำไร ความผันผวนก็อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นกับหุ้นหลาย ๆ ตัวจนจะได้มันไปไว้ในครอบครองได้ สำหรับคนถือหุ้นไว้อยู่แล้ว Options เป็นวิธีการทำกำไรได้อีกทาง โดยได้เก็บหุ้นไว้ทำกำไรเองต่อไปด้วย
คนจะซื้อหุ้น และคนถือหุ้น ต้องเลือกใช้ Options อย่างเหมาะสมกับสถานะของตน เป็นเรื่องของการรุกรับที่แต่ละสัญญามีโอกาสทำกำไร ขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดว่าสนับสนุนกลยุทธ์ของคนซื้อหุ้นหรือคนถือหุ้น การวิเคราะห์ตลาดก่อนมีความสำคัญในการเลือกกลยุทธ์ Options
บทความที่กำลังมาแรง
- รู้เวลาเปิด - ปิดตลาดหุ้นไทย วางแผนการเทรดอย่างโปร 2023-11-15
- 25 คนที่รวยที่สุดในโลกในปี 2023 2024-01-30
- ส่อง 5 หุ้นดังสปอนเซอร์โอลิมปิก ปารีส 2024 2024-08-07
โบนัสเงินคืนเพื่อช่วยให้นักลงทุนเติบโตในโลกของการเทรด!