
OBV Indicator วิเคราะห์กำลังตลาด บ่งชี้ทิศทางราคา
OBV Indicator คือตัวบ่งชี้การปรับเปลี่ยนขนาด Trade Volumn และส่งสัญญาณว่าทิศทางราคากำลังกลับตัว หาก Trade Volumn ในช่วงขาขึ้นลดลง คือกำลังซื้ออิ่มตัว แต่หาก Trade Volumn ในช่วงขาลงลดลง กำลังขายอิ่มตัว
OBV Indicator คืออะไร
OBV Indicator มาจากคำว่า On-Balance Volumn คือเครื่องมือบ่งชี้ในการวิเคราะห์การเทรดที่ดูลักษณะการแกว่งตัวไปมาของปริมาณการซื้อที่นำมาใช้ในการพยากรณ์ถึงการปรับเปลี่ยนทิศทางของราคาที่กำลังจะเกิดขึ้น เครื่องมือตัวนี้ถูกพัฒนามานาน ปรากฏขึ้นครั้งแรกโดย โจเซฟ แกรนด์วิลล์ ในปี ค.ศ. 1963 โดยตีพิมพ์ในหนังสือชื่อ กุญแจดอกใหม่ของแกรนด์วิลล์เพื่อทำกำไรในตลาดหุ้น (Granville’s New Key to Stock Market Profits)
แกรนด์วิลล์เชื่อว่าปริมาณการซื้อ เมื่อพิจารณาร่วมกับข้อมูลราคาที่ปรับเปลี่ยนไปมา จะบ่งชี้ระดับแรงกดดันของฝั่งซื้อหรือฝั่งขาย ในหนังสือของเขาระบุไว้ว่า การคาดการณ์โดย OBV เมื่อปริมาณการซื้อหรือขายเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงโดยไม่มีการปรับเปลี่ยนของราคาที่รุนแรงสัมพันธ์กัน ในที่สุดราคาจะปรับเปลี่ยนขึ้นหรือลงอย่างมากไปด้วยอยู่ดีตามแรงซื้อแรงขาย
นักเทรดในยุคหลังใช้ OBV เมื่อวิเคราะห์กำลังของตลาด (Market Breadth) แยกดูแรงซื้อขายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาต่าง ๆ เห็นการเข้าออก (เปิด-ปิดออเดอร์) ของคนในตลาดว่าหลัก ๆ แล้วเป็นไปในทิศทางใด และมีแนวโน้มจะปรับเปลี่ยนทางเลือกการตัดสินใจซื้อไปขายหรือขายไปซื้อหรือไม่
ข้อจำกัดของ OBV คือไม่เหมาะกับการใช้วิเคราะห์ตลาดในกรอบระยะเวลาอ้างอิงสั้น ๆ ต่ำกว่า 4 ชั่วโมง เพราะข้อมูลที่มีจะน้อยเกินไปจนไม่แสดงแนวโน้มพฤติกรรมที่ชัดเจน ทำให้สามารถเข้าใจการเคลื่อนไหวของการเทรดผิดพลาดได้ ถ้าจะให้เหมาะสม OBV ควรใช้ในกรอบระยะเวลารายวันขึ้นไป
แนวคิดเพื่อคำนวณค่า OBV
การคำนวณหาค่า OBV แบ่งได้เป็น 3 กรณี
ราคาปิดปัจจุบัน มีค่ามากกว่าราคาปิดของแท่งเทียนก่อนหน้า (ราคาขยับขึ้น) จะเอาค่า OBV ที่คำนวณได้จากแท่งก่อนหน้าบวกกับปริมาณการซื้อขาย (Volumn) ของแท่งเทียนปัจจุบัน
ราคาปิดปัจจุบัน มีค่าน้อยกว่าราคาปิดของแท่งเทียนก่อนหน้า (ราคาขยับลง) จะเอาค่า OBV ที่คำนวณได้จากแท่งก่อนหน้าลบกับปริมาณการซื้อขาย (Volumn) ของแท่งเทียนปัจจุบัน
ราคาปิดปัจจุบัน มีค่าเท่ากับราคาปิดของแท่งเทียนก่อนหน้า (ราคาคงที่) ค่า OBV ที่คำนวณได้จากแท่งก่อนหน้าเท่ากับค่า OBV ของแท่งเทียนปัจจุบัน
ตารางตัวอย่างต่อไปนี้เป็นราคาหุ้น Apple Inc. และค่า OBV ที่คำนวณได้

หรือหากต้องการคำนวณราคาคู่สกุลเงิน FOREX ก็ทำได้เช่นกัน แต่ข้อมูลปริมาณซื้อขาย (Volumn) มักไม่มีเผยแพร่เช่นข้อมูลหุ้น จะต้องใช้การเปิดดูตัวชี้วัดหรือเครื่องมือทางเทคนิคบนหน้าแพลตฟอร์มการเทรดต่าง ๆ เพื่อแสดงผล Volumn เลย ซึ่งการเปิดใช้ OBV เลย สะดวกกว่า ไม่มีความจำเป็นต้องมาทำการคำนวณมือเอง หรือแม้แต่ใช้ Excel ช่วยคำนวณ
อย่างไรก็ตาม ลองคำนวณหาค่า OBV ในการเทรดฟอเร็กซ์ที่คู่สกุลเงิน AUD/CHF ด้วยวิธีเดียวกัน

ค่า OBV นี้ เมื่อเปิดใช้ อาจปรากฏเป็นเหมือนในรูปแบบที่เห็นในรูปต่อไปด้านล่าง คือเป็นกราฟแท่งปรากฏขึ้นใต้กราฟราคา หรือในบางแพลตฟอร์มการเทรด ค่า OBV อาจจะแสดงออกมาเป็นกราฟเส้น
การคำนวณ OBV ด้วย Excel
การคำนวณ OBV ด้วย Excel ควรทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
หาข้อมูลราคาปิด กับปริมาณซื้อขาย และนำมาใส่ใน Excel เรียงลำดับจากวันในอดีตถึงปัจจุบัน
ตรงช่อง ขึ้น-ลง ใช้การกำหนดเงื่อนไขเปรียบเทียบระหว่างแถวในคอลัมน์ B เพื่อแสดงเครื่องหมายเป็นลบหรือบวก ด้วยสูตร =IF(B3>B2,"+","-") ในเซลล์ช่อง C3 จากนั้นให้ทำการก็อปปี้เซลล์แบบลากที่มุมเซลล์ C3 ลงไป สูตรจะถูกก็อปปี้โดยเปลี่ยนช่องอ้างอิงตามลำดับภายในคอลัมน์ C
ช่องค่า +/- ให้ใช้สัญลักษณ์ “&” เพื่อเชื่อมเครื่องหมายระหว่างคอลัมน์ ขึ้น-ลง (คอลัมน์ C) กับคอลัมน์ ปริมาณซื้อขาย (คอลัมน์ D) ทำแค่ในช่อง E2 จากนั้นให้ก็อปปี้เซลล์แบบลากที่มุมเซลล์ E2 ลงไป สูตรจะถูกก็อปปี้โดยเปลี่ยนช่องอ้างอิงตามลำดับภายในคอลัมน์ E
หาค่า OBV โดยในช่อง F2 ให้เท่ากับ E2 ส่วน F3 ให้เป็น F2+F3 จากนั้นให้ก็อปปี้เซลล์แบบลากที่มุมเซลล์ F3 ลงไป สูตรจะถูกก็อปปี้โดยเปลี่ยนช่องอ้างอิงตามลำดับภายในคอลัมน์ F
ไม่มี OBV Indicator formula excel สำเร็จรูปสำหรับคนที่ต้องการใช้ Excel เพื่อคำนวณค่าออกมาไว ๆ ขั้นตอนที่นำเสนอไปเป็นการประยุกต์ใช้สูตรทั่วไปของ Excel ซึ่งในการคำนวณใด ๆ ในครั้งต่อไปก็เพียงเปลี่ยนข้อมูลราคาปิด กับปริมาณซื้อขาย และก็อปปี้สูตรระหว่างเซลล์ในคอลัมน์เดียวกันให้ครอบคลุมจำนวนแถวที่แสดงข้อมูลราคาปิด กับปริมาณซื้อขาย
สรุปภาพรวมของสูตร
คำตอบที่ได้
ตีความจาก OBV Indicator ได้อย่างไรบ้าง
ราคาของ FOREX หรืออัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินสกุลต่างประเทศ ในตลาดแลกเปลี่ยน (Foreign Exchange Market) รวมไปถึงราคาหุ้น ดัชนี สินค้าโภคภัณฑ์ ล้วนแต่เปลี่ยนแปลงแบบขึ้นลงในแต่ละจุดเวลา ในคู่มือการเทรด ข้อมูลราคาจึงถือเป็นแบบ Time Series ซึ่งเวลาที่ราคาปรับตัวขึ้นจะเรียกว่า เกิด Positive Momentum ขึ้น และราคาปรับตัวลดลง จะเรียกว่า Negative Momentum แต่หากการปรับตัวน้อยมาก ปรับตัวอยู่ในกรอบแคบ ก็จะเรียกว่ามี Momentum ต่ำหรืออ่อนตัว
สิ่งที่เราสนใจในการอ่านค่า OBV ไม่ใช่ค่าตัวเลขแน่นอนที่คำนวณได้จากวิธีการดังที่นำเสนอไปแล้วข้างต้น แต่เป็นการสนใจทิศทางของค่า OBV มากกว่่าว่าจะเป็นบวก หรือลบ ถ้าเป็นค่าบวกอย่างต่อเนื่อง หรือ Positive Momentum ต่อเนื่อง และในทางกลับกัน ถ้าเป็นค่าลบต่อเนื่อง หรือ Negative Momentum ต่อเนื่อง นั่นจะทำให้เกิดค่า Vector ที่มีคุณภาพ ชี้แนวโน้มของราคา การมีแนวโน้มชัดเจนทำให้เราพยากรณ์ได้ว่าราคาจะดำเนินต่อไปต่อในขาขึ้นหรือขาลง
อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงการใช้ OBV สำหรับการเทรดเก็งกำไรคริปโตเคอร์เรนซี เพราะมีความผันผวนสูงจากการที่ผู้คนอ่อนไหวจากข้อมูล และไม่มีเศรษฐกิจจริงที่แข็งแกร่งซึ่งระงับคนจากการตื่นตระหนักทางจิตวิทยาและกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจที่เป็นเหตุเป็นผล หรือกล่าวอีกอย่างคืออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้สินทรัพย์คริปโตเคอร์เรนซีเพื่ออ้างอิงไม่มีความชัดเจน ทำให้คริปโตเคอร์เรนซีไม่มีเสถียรภาพทางราคาในการแลกเปลี่ยน เครื่องมือ OBV ไม่สามารถส่งสัญญาณนัยยะสำคัญใด ๆ ในการเทรดได้
ตัวอย่างการใช้งาน OBV Indicator ใน Meta Trader 5 สำหรับคู่สกุลเงิน

เส้นกราฟสีน้ำเงินคือกราฟค่า OBV เริ่มมีค่า OBV ที่ลบ หรือว่ากดลง ขณะที่ระดับราคานั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาก ถ้าเป็นเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่ากำลังตลาดจากฝั่งออเดอร์ขายเพิ่มมากขึ้น และในระยะยาว ตลาดจะเข้าสู่ขาลง
การอ่านค่า OBV นี้ แนวโน้มของค่า OBV ที่นักเทรดต้องพยายามหา คือการแสดงทิศทางที่แตกต่างไปจากทิศทางของราคา เพราะขณะที่ราคาขยับเปลี่ยนไปด้วยจิตวิทยาการคล้อยตามกระแสของตลาดและความเชื่อของผู้คนที่คล้อยตามกัน นักเทรดหรือนักลงทุนก็จะค่อย ๆ รับรู้ข้อมูลต่าง ๆ กันมากขึ้น และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปทีละน้อยจนส่งอิทธิพลต่อแนวโน้มราคาในท้ายที่สุด อย่างถ้าค่า OBV ปรับเป็นค่าบวก หรือพุ่งขึ้นทีละน้อย ขณะที่ระดับราคาลดลงต่อเนื่องหรือมีแนวโน้มขาลง แสดงว่าคนเริ่มรับรู้ข้อมูลที่ทำให้ต้องการหลักทรัพย์นั้น ๆ หรือเงินสกุลหลักนั้น ๆ มากขึ้น ส่วนต่างของราคาปิดที่ลดลงแต่ละจุดเทียบกับจุดราคาอ้างอิงหลักในการคำนวณ OBV มีส่วนต่างน้อยลง แสดงว่ากำลังขายยังมีอยู่ แต่อ่อนกำลังลงเรื่อย ๆ เพราะกำลังซื้อเริ่มเพิ่มขึ้นมาแทน นี่เป็นผลให้เกิดค่า OBV กระตุกขึ้น
สรุปสิ่งที่นักเทรดต้องมองหาและการอ่านค่า ควรจดไว้ในคู่มือฟอเร็กซ์ประจำตัวเพื่อช่วยให้ทบทวนหลักการในการเทรดได้ดียิ่งขึ้น
OBV เป็นบวก (Positive Momentum) หรือปริมาณการซื้อขายลดลงแต่ลดลงด้วยสัดส่วนที่น้อยลงกว่าเดิมเรื่อย ๆ ระดับราคาปรับลดลงต่อเนื่องแต่ลดลงด้วยสัดส่วนที่น้อยลงเรื่อย ๆ โดยเฉลี่ย นำไปสู่การคาดการณ์ว่าจะเกิดแนวโน้มขาขึ้น
OBV เป็นลบ (Negative Momentum) หรือปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นแต่เพิ่มขึ้นด้วยสัดส่วนที่น้อยลงกว่าเดิมเรื่อย ๆ ระดับราคาปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องแต่เพิ่มขึ้นด้วยสัดส่วนที่น้อยลงเรื่อย ๆ โดยเฉลี่ย นำไปสู่การคาดการณ์ว่าจะเกิดแนวโน้มขาลง
เปรียบเทียบ OBV vs RSI สองคู่หูดูกราฟราคา
นอกเหนือจาก OBV Indicator การมองหาความขัดแย้งในทิศทางของราคา กับกราฟแสดงผลวิเคราะห์ทางเทคนิค ยังเกิดขึ้นเมื่อใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Relative Strength Index (RSI) ที่ใช้หาสัญญาณระบุแนวโน้มขาขึ้น (Bullish) และขาลง (bearish) ของราคา
โดยในส่วนของ RSI จะแสดงผลเป็นค่าระหว่าง 0-100 ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อชี้สภาวะ “การขายมากเกินไป” (Oversold) หรือ “การซื้อมากเกินไป” (Overbought)
การแปลผลของ RSI นั้นเป็นไปตามแนวคิดที่ว่า เมื่อมีการขายมาเกินไปแล้ว ราคาที่ตกลงเรื่อย ๆ ไปถึงจุดนั้นจะเป็นราคาที่มีคนอยากซื้อเพราะเชื่อว่าราคานั้นต่ำกว่ามูลค่าของทรัพย์สินอ้างอิง ซึ่งการกลับมาเปิดออเดอร์ซื้อจะทำให้การซื้อเพิ่มขึ้นมากแทนการขายโดยเปรียบเทียบ และผลักราคาให้กลับเป็นขาขึ้น หรือในทางกลับกัน เมื่อมีการซื้อมากเกินไป ราคาที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จะไม่มีคนอยากเปิดออเดอร์ด้วยราคาเสนอซื้อที่สูงขึ้นไปอีก เพราะราคาสูงกว่ามูลค่าของทรัพย์สินอ้างอิง ความรู้สึกคือแพงจนไม่คุ้มการลงทุน ขณะที่คนที่ซื้อไปได้ก่อนหน้าก็เริ่มขายเพื่อทำกำไร การเปิดออเดอร์ขายจะเพิ่มขึ้น และผลักราคาให้กลับมาเป็นขาลง
RSI ที่ค่า 30 แสดงถึงภาวะการขายมากเกินไป และมีแนวโน้มที่ราคาจะปรับเป็นขาขึ้น
RSI ที่ค่า 70 แสดงถึงภาวะการซ์ื้อมากเกินไป และมีแนวโน้มที่ราคาจะปรับเป็นขาลง
เครื่องมือ RSI เป็น Indicator ที่วัด Momentum หรือเกี่ยวข้องกับการปรับเปลี่ยนของราคาเช่นกัน แต่ที่มาการคำนวณไม่ได้ยุ่งกับปริมาณการซื้อขายแม้แต่น้อย จะนำเพียงผลต่างของราคาระหว่างแท่งเทียนมาแยกกลุ่มเป็นค่าบวก (Gain) หรือค่าลบ (Loss) หาค่าเฉลี่ยค่า Gain และหาค่าเฉลี่ยค่า Loss จากนั้นทำมาคูณกันหาค่า RS และคำนวณต่อให้เป็นค่าดัชนี (Index) หรือ RSI ด้วยการนำไปเข้าสูตร
สูตร RSI คือ 100 - (100/1+RS)
สำหรับ RSI นักเทรดจะใช้งานโดยเริ่มต้นที่การดูว่าค่าในกราฟ RSI ไปตกอยู่ในพื้นที่สูงกว่าค่า 70 หรือต่ำกว่าค่า 30 เป็นลำดับแรก ในภาพต่อไปนี้ RSI ปรากฏอยู่ส่วนล่าง พื้นที่ด้านบนของภาพจะแสดงระดับราคาแลกเปลี่ยน GBP/USD

หากดู OBV vs RSI
หาก OBV ได้ส่งสัญญาณ เป็นบวก (Positive Momentum) และคาดว่าจะเกิดแนวโน้มขาขึ้น สัญญาณที่คาดว่าจะพบใน RSI คือค่าดัชนีที่ต่ำกว่า 30 ขณะที่ราคากำลังขยับขึ้น เพราะนั่นแสดงว่ากำลังขายอ่อนแรงลง และราคาจะกลับตัวเป็นขาขึ้น
จากภาพตัวอย่างด้านล่างนี้ จะเห็นได้ว่าขณะที่ราคาขาลงจะกลับตัวเป็นขาขึ้น เส้นสีน้ำเงินที่เป็นตัวแทนค่า OBV มีค่าเพิ่มขึ้น แสดงถึงว่าปริมาณการซื้อขายนั้นลดลงกว่าเดิมเรื่อย ก่อนที่จะกระดกตัวเพิ่มขึ้นพร้อมกับระดับราคาที่พุ่งขึ้น เมื่อดูควบคู่กับกราฟ RSI ที่เป็นเส้นสีฟ้าอ่อน พบว่าค่า RSI ในจุดราคาไล่เลี่ยกัน ในตอนแรกนั้นได้ลดลงต่ำกว่าค่า 30 ซึ่งการดู OBV และ RSI คู่กันในครั้งนี้นั้นส่งสัญญาณว่าแนวโน้มแลกเปลี่ยนสกุลเงิน NZD/USD น่าจะกลับตัวเป็นขาขึ้น ซึ่งจะเห็นต่อมาว่าราคาได้ยืนยันสัญญาณนั้นว่าเป็นจริงโดยปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงระยะเวลาหนึ่งจริง ๆ

หาก OBV ได้ส่งสัญญาณ เป็นลบ (Negative Momentum) และคาดว่าจะเกิดแนวโน้มขาลง สัญญาณที่คาดว่าจะพบใน RSI คือค่าดัชนีที่สูงกว่า 70 ขณะที่ราคากำลังขยับลง เพราะนั่นแสดงว่ากำลังซื้อเริ่มอ่อนแรงลง
จากภาพตัวอย่างด้านล่างนี้ จะเห็นได้ว่าขณะที่ราคาขาขึ้นจะกลับตัวเป็นขาลง เส้นสีน้ำเงินที่เป็นตัวแทนค่า OBV มีค่าลดลง แสดงถึงว่าการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายนั้นให้เพิ่มขึ้นในปริมาณที่น้อยลงกว่าเดิมเรื่อย เมื่อดูควบคู่กับกราฟ RSI ที่เป็นเส้นสีฟ้าอ่อน พบว่าค่า RSI ในจุดราคาช่วงเดียวกัน ได้พ้นสูงขึ้นมาเหนือค่า 70 ซึ่งการดู OBV และ RSI คู่กันนั้นส่งสัญญาณว่าแนวโน้มแลกเปลี่ยนสกุลเงิน GBP/USD น่าจะกลับตัวเป็นขาลง ซึ่งจะเห็นต่อมาว่าราคาได้ยืนยันสัญญาณนั้นว่าเป็นจริงโดยปรับลงอย่างต่อเนื่องจริง ๆ

บทส่งท้าย
OBV เป็นการใช้ข้อมูลปริมาณซื้อขายให้เป็นประโยชน์ โดยจะให้สัญญาณการปรับเปลี่ยนทิศทางที่น่าเชื่อถือเมื่อได้รับการยืนยันด้วยเครื่องมือที่วัดขนาดการปรับเปลี่ยนราคาอย่าง RSI โดยค่า OBV สามารถหาข้อมูลและคำนวณด้วยตัวเองได้ ใช้ Excel ช่วยคำนวณก็ได้ แต่เนื่องจากการได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายและใช้งานได้ง่ายจึงเป็นเครื่องมือสำเร็จรูปหนึ่งที่นักลงทุนสามารถเรียกใช้ได้เลยจากแพลตฟอร์มที่ใช้เทรด โดยขณะที่มีสัญญาณ RSI ว่า Oversbought ค่า OBV จะลดลง ยืนยันว่าการลงทุนลดลงเมื่อคนรู้สึกว่าราคาปรับเพิ่มสูงเกินไป ขณะที่สัญญาณ RSI ว่า Oversold ค่า OBV เพิ่มขึ้น ยืนยันว่าการลงทุนเพิ่มขึ้นเมื่อคนรู้สึกว่าราคาปรับลดลงต่ำเกินไป
บทความที่กำลังมาแรง
- 5 เรื่องต้องรู้ หุ้นเทค AI มูฟไปกับเทรนด์โลก
ลงทุนต้องตามเทรนด์ หุ้น AI ทํางานหนักให้กับหลากอุตสาหกรรมรอบโลก มาเรียนรู้ 5 บทบาทของ AI ในธุรกิจต่าง ๆ และคว้าโอกาสของการเติบโตตามเทรนด์โลกไปกับหุ้น AI ต่างประเทศ
2024-10-29
TOPONE Markets Analyst - ส่อง 5 หุ้นดังสปอนเซอร์โอลิมปิก ปารีส 2024
เกาะกระแสปารีสโอลิมปิก 2024 เฟ้นหาหุ้นน่าลงทุนระยะสั้นจากสปอนเซอร์หลักโอลิมปิกที่น่าจับตา สร้างพอร์ตการเล่นหุ้นระยะสั้นด้วยการเทรด CFD
2024-08-07
TOPONE Markets Analyst - 25 คนที่รวยที่สุดในโลกในปี 2023
เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว คนที่รวยที่สุด 25 คนนี้ยากจนกว่าปีที่แล้วถึง 200 พันล้านดอลลาร์ แต่ก็ยังมีมูลค่า 2.1 ล้านล้านดอลลาร์
2024-01-30
TOPONE Markets Analyst - รู้เวลาเปิด - ปิดตลาดหุ้นไทย วางแผนการเทรดอย่างโปร
รอบรู้เวลาเปิดและปิดทำการของตลาดหุ้นไทย เพื่อให้วางแผนการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเหนือชั้นกว่ากับการเทรด CFD ที่ทำได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ขึ้นกับเวลาเปิด-ปิดของตลาดหุ้น
2023-11-15
TOPONE Markets Analyst
ฟรี!

โบนัสเงินคืนเพื่อช่วยให้นักลงทุนเติบโตในโลกของการเทรด!