
ยาแรงแก้เศรษฐกิจด้วย QT คืออะไรกัน
QT คือเครื่องมือจัดการเศรษฐกิจ เช่น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างช้า เพื่อประคองอัตราเงินเฟ้อ กระตุ้นการใช้จ่าย การลงทุน ถ้ามองสั้น ๆ อาจดูเหมือนโหดร้าย แต่ได้ผลดีในระยะยาว
QT Fed คือรูปแบบนโยบายที่มุ่งหวังการลดปริมาณเงินจากระบบ โดยทางธนาคารกลางของสหรัฐ ฯ (Fed) เป็นสถาบันดำเนินงาน เป็นโนบายที่ตรงกันข้ามกับ QE Fed ที่เป็นการเพิ่มเงินเข้าสู่ระบบด้วยการพิมพ์ธนบัตรขึ้นมาเพิ่ม โดยทาง Fed ต้องกำกับปริมาณของเงินในระบบด้วยนโยบายทั้งสอง ก็เพราะปริมาณเงินมีความสัมพันธ์กับระดับเงินเฟ้อ ต้นทุนของภาคธุรกิจ และภาพรวมการจ้างงานของประเทศ
ด้วยเหตุที่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกหวังให้เกิดเสถียรภาพทางการเงินและการคลัง ปัจจุบันหลายประเทศจึงรับเอานโยบาย QT และ QE มาใช้โดยมีสหรัฐ ฯ เป็นแม่แบบ
QT (Quantitative Tightening) คืออะไร
QT หรือ Quantitative Tightening เป็นนโยบายที่ธนาคารกลางออกพันธบัตรมาขายธนาคารพาณิชย์ เพื่อจะดูดซับเงินสำรองที่ธนาคารพาณิชย์ในประเทศถือครองอยู่ หรือปล่อยให้พันธบัตรรัฐบาลที่ซื้อมาถือหมดอายุลง แล้วจากนั้นไม่ทำการซื้อเพิ่ม ทำให้ภาครัฐมีเงินคงคลังน้อยลง
นโยบาย QT ที่กระทำกับธนาคารพาณิชย์ ไม่ทำให้ธนาคารพาณิชย์มีทรัพย์สินลดลง ปกติแล้วธนาคารกลางจะมีการบันทึกรายการสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ไว้ ธนาคารกลางเป็นธนาคารของทุกธนาคารในประเทศ การออกพันธบัตรมาให้ธนาคารพาณิชย์ ทางธนาคารกลางจะบันทึกว่าธนาคารพาณิชย์มีสินทรัพย์เท่าเดิม แต่ขณะเดียวกันเงินสดในระบบของธนาคารพาณิชย์จะลดลง ทำให้ปล่อยกู้ได้ยากขึ้น
ผลจากนโยบาย QT ที่ส่งผ่านกลไกปล่อยสินเชื่อของธนาคาร คือเงินที่ธนาคารพาณิชย์ถือน้อยลง ธนาคารพาณิชย์จึงปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากขึ้น เพื่อดึงดูดคนมาฝากเงินเพิ่มและนำไปปล่อยกู้ต่อ เพราะมีเงินสำหรับการปล่อยกู้ที่เป็นช่องทางทำรายได้ของตนน้อยลง และเป็นผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากเพิ่มสูงตาม เป็นผลจากการนำเงินของผู้ฝากไปทำรายได้ได้มากขึ้น เงินที่อยู่ในมือประชาชนและหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจจึงลดลงด้วย
ขณะเดียวกัน การปล่อยให้พันธบัตรรัฐบาลหมดอายุแล้วไม่รับซื้อเพิ่ม จะทำให้งบดุลของรัฐบาลมีเงินน้อยลงไป ทำให้การดำเนินงานนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลลดลง การจ้างงานจากภาครัฐลดตาม ทำให้เศรษฐกิจไม่ถูกกระตุ้น หรือภาครัฐเน้นการออกพันธบัตรที่มีดอกเบี้ยสูงขึ้นเพื่อให้ประชาชนมาซื้อพันธบัตร ภาคเอกชนอาจลงทุนตรงส่วนนี้ด้วย จึงทำให้เศรษฐกิจร้อนแรงน้อยลง
QT กับเงินเฟ้อลดลง ผลลัพธ์คืออะไร
เงินเฟ้อเป็นสิ่งที่ประชาชนเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ของแพง หลายคนมองเงินเฟ้อเป็นพิษร้ายทางเศรษฐกิจ แต่จริง ๆ แล้วเงินเฟ้อและของแพงเป็นองค์ประกอบของการเติบโตและพัฒนาทางเศรษฐกิจด้วยในอีกนัยะหนึ่ง และนี่คือเหตุผลหนึ่งที่เราพบว่าสิ่งของในประเทศที่พัฒนาแล้วมีราคาแพงกว่าในประเทศไทยมาก เช่น น้ำหนึ่งขวดมีราคาถึงประมาณ 80-100 บาทในสหราชอาณาจักร แต่ราคา 7-10 บาทในประเทศไทย
ในช่วงที่เศรษฐกิจดีภาคการผลิตทำให้เกิดงาน การจ้างงานเพิ่มขึ้น คนตกงานน้อย คนจึงจับจ่ายใช้สอยอย่างเต็มที่ เงินเฟ้อจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นในช่วงนี้เอง เหล่าผู้คนจะบริโภคแม้แต่สิ่งของฟุ่มเฟือยเพราะระดับการว่างงานต่ำ คนส่วนมากมีงานทำ มีเงินสำหรับใช้สอย พฤติกรรมของผู้บริโภคจะกระตุ้นโครงการต่าง ๆ ของภาคธุรกิจให้เพิ่มขึ้น และเป็นโอกาสให้ผู้ขายสินค้าและบริการเพิ่มราคาเพื่อเก็บเกี่ยวกำไร
ของแพงจากเงินเฟ้อเป็นความรู้สึก คำอธิบายในทางเศรษฐศาสตร์จริง ๆ แล้ว คือในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งพลังงาน แร่มีค่า และอาหาร คนมีเงินเท่าเดิมแต่ซื้อหาของได้น้อยลง เท่ากับเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ ประเด็นของเรื่องสำคัญคือเงินมีมูลค่าลดลง
ถึงจุดหนึ่งที่เงินหนึ่งหน่วยซื้อของได้น้อย จะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ กล่าวคือผู้ผลิตในประเทศแบกรับต้นทุนการผลิตที่มากขึ้นไม่ไหว แม้การส่งออกหรือการท่องเที่ยวในช่วงเงินเฟ้อที่ค่าเงินอ่อนค่าจะเพิ่มขึ้นแต่ต้นทุนชำระหนี้กับต่างประเทศก็เพิ่มขึ้นด้วยเพราะต้องใช้เงินบาทมากขึ้นในการใช้คืน การลงทุนทางตรงจากต่างประเทศจะลดลงเพราะพวกบริษัทต่างชาติมองหาฐานการผลิตที่ต้นทุนถูกกว่า และนั่นกระทบต่อการขยายตัวของระดับการเติบโตของเศรษฐกิจ (GDP)
นโยบาย QT เป็นการลดปริมาณเงินในระบบ สามารถตรึงราคาของไม่ให้พุ่งขึ้นไปอีก ขณะที่ดอกเบี้ยธนาคารค่อย ๆ ปรับสูงขึ้น ให้ผลประโยชน์ตอบแทนแก่ผู้มีเงินอยู่มากในรูปของดอกเบี้ย ดอกเบี้ยจะเพิ่มความมั่งคั่งให้กับภาคเอกชนและบุคคล
นอกจากนี้ ผลจากการเริ่มทำ QT ค่าเงินในชาติจะแข็งค่าขึ้นด้วย ภาคการผลิตในประเทศจะสามารถแข่งขันกันได้อีกครั้ง เพราะเผชิญหน้ากับต้นทุนที่ตนสู้ไหว บริษัทต่างชาติที่มีฐานในไทยยังนำเข้าเพื่อผลิตและขายในประเทศหรือส่งออกได้
กลไกของนโยบาย QT หยุดภาวะประเทศรวยแต่มูลค่าเงินของประเทศน้อยลงไปจนเกิดภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่แตก ซึ่งถ้ามีฟองสบู่แตก สุดท้ายการจ้างงานจะลดลงเพราะภาคการผลิตไปต่อไม่ได้จากค่าแรงที่สูงเกินไป ต่างประเทศหนีไปลงทุนที่อื่น แล้วผลลัพธ์วนกลับจะเป็นของที่แพงอยู่ขณะที่ผู้คนกำลังตกงาน หากเศรษฐกิจพัฒนาไปยังจุดนั้นจะเป็นภาวะที่เรียกว่า Stagflation หรือเศรษฐกิจชะงักงัน ของแพงแต่คนในประเทศไม่มีกำลังซื้อ
QT ต่างจาก QE อย่างไร
ด้วยเหตุที่เงินเฟ้อเป็นเหรียญสองด้าน ธนาคารกลางต้องหยุดภาวะเงินเฟ้อเพื่อป้องกันเศรษฐกิจฟองสบู่ แต่บางครั้งธนาคารกลางกลับต้องการเพิ่มระดับเงินเฟ้อเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตได้ตามเป้าหมาย
QE (Quantitative Easing) คือนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเชิงปริมาณ ใช้รับมือกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ธนาคารกลางจะทำการเข้าซื้อสินทรัพย์ทางการเงินจากธนาคารพาณิชย์ เพื่อที่จะให้เงินไหลเข้าสู่ระบบของธนาคารพาณิชย์ ทำให้ธนาคารพาณิชย์มีเงินมากขึ้นสำหรับปล่อยสินเชื่อ
นอกจากนี้ การใช้นโยบาย QE ธนาคารกลางเองจะประกาศลดดอกเบี้ยลงเพื่อส่งสัญญาณให้อัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ลดลงตาม และเป็นแรงจูงใจให้ภาคธุรกิจกู้มาขยายกิจการ หรือเริ่มต้นทำธุรกิจใหม่ ๆ เกิดการสะพัดของเงินจากภาคธุรกิจ และนำไปสู่การจับจ่ายใช้สอยที่มากขึ้นของภาคประชาชน เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ในสหรัฐอเมริกา ธนาคารกลางยังสั่งผลิตเงินเพิ่มเข้าสู่ระบบ สาเหตุเพราะหนี้สินของประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีจำนวนมหาศาล การพิมพ์เงินเข้าสู่ระบบ จะปรับลดมูลค่าของเงินต่อหน่วยลดลงเร็วขึ้น และเป็นผลให้ชำระหนี้ตามสัญญาต่าง ๆ ที่คงค้างอยู่เดิมได้รวดเร็วขึ้น
อย่างไรก็ตามจะเห็นว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ฯ ในช่วงที่มีการดำเนินมาตรฐาน QE อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น และเป็นช่วงที่สหรัฐอเมริการณรงค์การหวนคืนถิ่นของบริษัทข้ามชาติที่ออกไปดำเนินการนอกประเทศเพื่อเพิ่มการจ้างงานในประเทศ การอนุญาตคนต่างชาติไปลงทุนเปิดธุรกิจแม้ไม่มีฐานพำนักในสหรัฐอเมริกา หรือการขยายบริษัทสตาร์ทอัพ โดยอาศัยประเด็นเรื่องค่าเงินที่อ่อนค่าลงทำให้ต้นทุนธุรกิจถูกกว่าโดยเปรียบเทียบกับอีกหลายประเทศเป็นตัวดึงดูด
สรุปความแตกต่างระหว่าง QE กับ QT ได้ดังนี้
QE กระตุ้นให้เกิดเงินเฟ้อหลังจากผู้คนมีภาวะไม่ยอมใช้จ่าย หรือไม่กล้าใช้จ่าย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลจากวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ทำให้ผู้คนไม่เห็นเป็นจังหวะดีที่จะใช้เงิน คนมีเงินเลือกเก็บเงิน ส่งผลให้อัตราการว่างงานไม่ลดลง คนมีรายได้น้อยขาดโอกาสเพราะคนมีเงินไม่กระจายความมั่งคั่งผ่านการใช้จ่าย
นโยบาย QE และ QT นั้นล้วนแต่เป็นนโยบายที่ให้ผลลัพธ์แบบค่อยเป็นค่อยไป แต่มีผลต่อการตัดสินใจลงทุนในตลาดสินทรัพย์เพื่อการลงทุนต่าง ๆ เพราะเมื่อธนาคารกลางประกาศนโยบายออกมาแล้ว จะทำให้ประชาชนหรือนักลงทุนคาดการณ์ได้ในระยะยาวถึงผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจ
ลงทุนอะไรดีในภาวะ QT นี้
ตลาดสำหรับการลงทุนระยะยาวหรือเก็งกำไรระยะสั้น จะมีการเคลื่อนไหวจากการประกาศนโยบายของธนาคารกลาง ในส่วนของผลกระทบและแนวโน้มการลงทุนในภาวะ QT ควรจะเป็นไปในแต่ละตลาดดังต่อไปนี้
ตลาดตราสารหนี้ (ตลาดพันธบัตร)
ดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นจากภาวะ QT จะทำให้มูลค่าพันธบัตรเอกชนลดลง ภาคเอกชนที่พบต้นทุนสูงขึ้นในการกู้สินเชื่อดำเนินการ หากจะออกพันธบัตรเพื่อระดมทุนแทนก็ตกที่นั่งลำบาก เพราะมูลค่าพันธบัตรไม่ดึงดูดใจสถาบันทางการเงินที่มีเงินไปลงทุนด้วยน้อย อีกทั้งสถาบันการเงินยังปรับดอกเบี้ยสำหรับปล่อยกู้เองให้สูงอยู่แล้ว แทนที่จะรับผลตอบแทนจากพันธบัตรของภาคเอกชน ก็สู้รอรับผลตอบแทนจากผู้กู้ดีกว่า หรือกรณีการลงทุนของนักลงทุนทั่วไป การลงทุนพันธบัตรในช่วงนี้มีความเสี่ยงสูงขึ้นจากการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจในภาพรวม ผลตอบแทนของพันธบัตรถือว่าต่ำไม่คุ้มความเสี่ยง มูลค่าผลตอบแทนการออมในบัญชีเงินฝากบางประเภทสูงกว่า
ตลาดตราสารทุน (ตลาดหุ้น)
ช่วงที่มีการดึงเงินออกจากระบบเพราะ QT จะทำให้ปริมาณเงินในระบบลดลง ดอกเบี้ยจึงสูงขึ้นการกู้เงินมาดำเนินการใด ๆ ของภาคธุรกิจมีต้นทุนสูงขึ้น หรือมองได้ว่าการดำเนินการใหม่ ๆ ของบริษัทอาจจะมีการชะลอตัวลง รวมไปถึงคนอยากลดการจับจ่ายใช้สอยลงเพราะดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงตามดอกเบี้ยเงินกู้ดึงดูดใจ ซึ่งจะมีผลต่อรายได้ของบริษัทต่าง ๆ โดยเฉพาะบริษัทที่ค้าขายสินค้าที่ไม่จำเป็นต่อการอุปโภคหรือบริโภคในชีวิตประจำวันหรือสินค้าฟุ่มเฟือย การประกาศใช้นโยบาย QT จะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นลดลง และราคาหุ้นในตลาดในภาพรวมมีแนวโน้มลดลง
ตลาดตราสารอนุพันธ์
ตราสารอนุพันธ์คือสินทรัพย์สำหรับลงทุนใด ๆ ก็ตามที่อ้างอิงราคาสิ่งอื่น สำหรับตราสารอนุพันธ์ที่รู้จักกันดีได้แก่ สัญญาซื้อขายล่วงหน้าแบบมาตรฐาน (futures), สัญญาซื้อขายล่วงหน้าแบบไม่มาตรฐาน (forward), ตราสารแลกเปลี่ยน (swap), ตราสารสิทธิ (option), สัญญาส่วนต่าง (Contract for Difference หรือ CFD) เป็นต้น ซึ่งการอ้างอิงราคาสินค้านี่เองที่ทำให้ตราสารอนุพันธ์เหมาะลงทุนในภาวะ QT
นโยบาย QT ทำให้ดอกเบี้ยสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงขึ้นจะทำให้เงินต่างชาติไหลเข้ามาในประเทศเพื่อลงทุนในตลาดการเงินมากขึ้น และมีผลทำให้ปริมาณเงินบาทไหลออกยิ่งขึ้นอีก ผลักให้เงินแข็งค่าขึ้น (เช่น 36 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ฯ เป็น 31 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ฯ) และทำให้คาดการณ์ได้ว่าประเทศที่มีค่าเงินแข็งค่าจะนำเข้าได้มากขึ้น
การเก็งกำไรหรือลงทุนด้วยตราสารอนุพันธ์ประเภทสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หากกำหนดให้การซื้อขายล่วงหน้าเกิดขึ้นด้วยอัตราแลกเปลี่ยนที่ส่งผลให้ต้นทุนถูกกว่า ผู้ทำการซื้อขายจะได้ของไปมากขึ้นหรือได้รับเงินในสกุลที่ตัวเองต้องการมากขึ้น
ในส่วนของตราสารสิทธิ กรณีนำมาใช้กับหุ้น อาจจะนำมาใช้ในการขายหุ้นให้ได้ในราคาสูงกว่าที่คาดว่าราคาหุ้นจะเป็นไปในตลาด
หรือกรณีสัญญาส่วนต่าง (CFD) มีโบรกเกอร์เปิดบริการ เก็งอัตราแลกเปลี่ยน (FOREX) ราคาสินค้าโภคภัณฑ์หรือราคาหุ้นล่วงหน้า หากคาดเดาแนวโน้มหรือทิศทางราคาล่วงหน้าได้ถูกต้อง ก็จะทำกำไรได้ โดยในช่วงที่ประกาศนโยบายออกมาใหม่ ๆ มักส่งผลให้ตลาดมีการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์อ้างอิงต่าง ๆ อย่างร้อนแรง
ตลาดทองคำ
การประกาศและดำเนินการนโยบาย QT ทองคำจะมีมูลค่าลดลง เพราะโดยทั่วไปแล้วคนจะหันไปลงทุนทองคำเพื่อเป็นเครื่องรักษามูลค่าเวลาเศรษฐกิจไม่มีเสถียรภาพหรือผลตอบแทนจากช่องทางอื่น ๆ เสื่อมมูลค่า ซึ่งถ้าสบโอกาส ได้เจอแหล่งลงทุนอื่นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า ก็จะโยกย้ายเงินไปลงทุนในแหล่งอื่น ๆ แทน ในช่วงนโยบาย QT ผลตอบแทนจากทองคำหรือการปรับขึ้นราคาของทอง ไม่อาจเทียบเท่าผลตอบแทนจากดอกเบี้ยได้ เป็นช่วงเวลาที่การลงทุนในทองมีความเสี่ยง
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ลงทุนในตราสารอนุพันธ์ที่คาดการณ์แนวโน้มราคาล่วงหน้า หากคาดการณ์ว่าราคาทองจะเป็นขาลง ก็มีแนวโน้มได้กำไรสูง
FED ทำ QT วันไหน
ถ้า Fed ทำ QT วันไหน จะเป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มกระเตื้องขึ้นอีก มีเงินในระบบเพิ่มสูงขึ้น หลังจากช่วงก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 ทางสหรัฐอเมริกาได้ดำเนินนโยบาย QE มาแล้วอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับเศรษฐกิจที่ซบเซาและผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโต
ช่วงต้นเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2565 ทาง Fed ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นจาก 0.50% ขึ้นสู่ระดับ 0.75-1.00% และประกาศยืนยันออกมาว่าจะเริ่มดำเนินการทำ QT ตั้งแต่เดือน มิ.ย. พ.ศ. 2565 ซึ่งทาง Fed คาดหวังจะลดการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนและการลงทุนในสินทรัพย์คงที่ของภาคธุรกิจ เพราะแข็งแกร่งขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แม้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
บทส่งท้าย
นโยบาย QT ถูกธนาคารกลางนำเข้ามาใช้กรณีที่ปริมาณเงินในเศรษฐกิจมาก หรือเกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้น โดยธนาคารกลางใช้พันธบัตรและดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงมาดึงดูดเงินไปจากธนาคารพาณิชย์ และงดการซื้อพันธบัตรรัฐบาลทำให้ไม่มีเงินอัดฉีดนโยบายการคลังใหม่ ๆ
ผลของ QT คืออัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากที่เพิ่มขึ้น ตามหลัก “ของน้อยลงราคาแพงขึ้น” เป็นผลให้ระดับเงินเฟ้อลดลง ตรึงราคาข้าวของเครื่องใช้ไม่ให้พุ่งสูงขึ้น รวมถึงค่าเงินแข็งค่าขึ้น เป็นการเปลี่ยนขั้วให้ฝ่ายนำเข้า มาได้เปรียบแทนการส่งออก
ในช่วง QT นี้เอง เศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้เกิดการโยกย้ายเงินทุนสำหรับการลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ โดยตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้น รวมถึงทองคำจะเป็นช่วงขาลง เพราะผลตอบแทนในภาพรวมไม่อาจเทียบกับการซื้อพันธบัตรจากธนาคารกลางหรือบัญชีเงินฝากบางประเภท แต่เพราะสถานการณ์ QT ไม่เอื้อต่อการลงทุนใหม่ ๆ ในแง่ของการผลิต เมื่อประกาศใช้จะเกิดความผันผวนในตลาดตราสารอนุพันธ์ เป็นจังหวะที่ดีในการทำกำไรจากการคาดเดาราคาสินทรัพย์อ้างอิงต่าง ๆ
บทความที่กำลังมาแรง
- 5 เรื่องต้องรู้ หุ้นเทค AI มูฟไปกับเทรนด์โลก
ลงทุนต้องตามเทรนด์ หุ้น AI ทํางานหนักให้กับหลากอุตสาหกรรมรอบโลก มาเรียนรู้ 5 บทบาทของ AI ในธุรกิจต่าง ๆ และคว้าโอกาสของการเติบโตตามเทรนด์โลกไปกับหุ้น AI ต่างประเทศ
2024-10-29
TOPONE Markets Analyst - ส่อง 5 หุ้นดังสปอนเซอร์โอลิมปิก ปารีส 2024
เกาะกระแสปารีสโอลิมปิก 2024 เฟ้นหาหุ้นน่าลงทุนระยะสั้นจากสปอนเซอร์หลักโอลิมปิกที่น่าจับตา สร้างพอร์ตการเล่นหุ้นระยะสั้นด้วยการเทรด CFD
2024-08-07
TOPONE Markets Analyst - 25 คนที่รวยที่สุดในโลกในปี 2023
เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว คนที่รวยที่สุด 25 คนนี้ยากจนกว่าปีที่แล้วถึง 200 พันล้านดอลลาร์ แต่ก็ยังมีมูลค่า 2.1 ล้านล้านดอลลาร์
2024-01-30
TOPONE Markets Analyst - รู้เวลาเปิด - ปิดตลาดหุ้นไทย วางแผนการเทรดอย่างโปร
รอบรู้เวลาเปิดและปิดทำการของตลาดหุ้นไทย เพื่อให้วางแผนการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเหนือชั้นกว่ากับการเทรด CFD ที่ทำได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ขึ้นกับเวลาเปิด-ปิดของตลาดหุ้น
2023-11-15
TOPONE Markets Analyst
ฟรี!

โบนัสเงินคืนเพื่อช่วยให้นักลงทุนเติบโตในโลกของการเทรด!