
The Beginner Guide : CFD คืออะไร สร้างโอกาสการลงทุนได้อย่างไรบ้าง
ขยายโอกาสการเทรดสินทรัพย์ที่หลากหลายด้วย CFD ที่เหมาะกับสินค้าที่มีความผันผวนสูง และมีโอกาสไดรับผลตอบแทนสูง หากวิเคราะห์และคำนวณมาเป็นอย่างนี้ ต่อไปนี้คือสิ่งที่มือใหม่ลงทุน CFD ทุกท่านต้องรู้ก่อนเริ่มลงทุน
CFD คือเครื่องมือทางการเงินแบบไหน
CFD คือสัญญาซื้อขายส่วนต่าง (Contract for Different) เป็นเครื่องมือทางการเงินในกลุ่มอนุพันธ์ มีลักษณะเป็นเอกสารสัญญาที่อ้างอิงราคาของสินทรัพย์ และผู้ถือสัญญาจะทำกำไรจากส่วนต่างของราคาที่กำหนดในสัญญากับราคาตลาด มักใช้เป็นเครื่องมือการลงทุนกับสินค้าที่ราคามีความผันผวนสูง เช่น สกุลเงินต่างประเทศ สินค้าโภคภัณฑ์ หุ้น พลังงาน สินค้าเกษตร หรือสกุลเงินดิจิทัล โดยคุณไม่จำเป็นต้องมีสินทรัพย์อ้างอิงเหล่านั้นไว้ในครอบครอง
โบรกเกอร์จดทะเบียนเพื่อขาย CFD (CFD Broker) ดำเนินการเป็น “ผู้ขาย” ขณะที่ทางเทรดเดอร์จะเป็น “ผู้ซื้อ” โดยสัญญาที่โบรกเกอร์ขายให้แก่เทรดเดอร์จะแบ่งเป็นสองประเภทใหญ่ ตามทิศทางการเก็งกำไรของราคา นั่นจึงมหมายความว่า การเทรด CFD คือโอกาสในการสร้างผลตอบแทนทั้งในยามราคาปรับขึ้นและราคาปรับลง
Buy - สถานะ Long หากคุณคาดว่าราคาจะปรับตัวขึ้น ราคาอ้างอิงสินทรัพย์ตามสัญญาจะเป็นราคาเสนอขาย (ฺAsk Price) ในตลาดจริง โดยจะถูกนำมาเปรียบเทียบหาส่วนต่างกับราคาเสนอซื้อ (Bid Price) ในตลาดจริง ถ้าหากราคาเสนอซื้อสูงกว่าราคาเสนอขายที่อ้างอิงตอนปิดสัญญา (ปิดตำแหน่งการขาย/ปิด Position) เทรดเดอร์จะได้กำไร
Sell - สถานะ Short หากคุณคาดว่าราคาจะปรับตัวลง ราคาอ้างอิงสินทรัพย์ตามสัญญาจะเป็นราคาเสนอซื้อ (ฺฺBid Price) ในตลาดจริง โดยจะถูกนำมาเปรียบเทียบหาส่วนต่างกับราคาเสนอขาย (Ask Price) ในตลาดจริง ถ้าหากราคาเสนอขายต่ำกว่าราคาเสนอซื้อที่อ้างอิงตอนปิดสัญญา (ปิดตำแหน่งการขาย/ปิด Position) เทรดเดอร์จะได้กำไร
คำสั่งทั่วไปที่เป็นพื้นฐานการเทรด CFD (Basic CFD Order Type) นอกจาก Buy และ Sell แล้ว ยังมีคำสั่งพื้นฐานอื่น ๆ ดังต่อไปนี้
Stop Loss คือ กำหนดราคาที่ต้องการปิดสถานะไว้ล่วงหน้า ในระดับที่การขาดทุนอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ การใช้คำสั่งนี้เพื่อควบคุมความเสียหายที่เกิดกับพอร์ตลงทุน และนำเงินลงทุนที่เหลือไปลงทุนอย่างเหมาะสมต่อไป
Take Profit คือ กำหนดราคาที่ต้องการปิดสถานะไว้ล่วงหน้า ในระดับที่ทำกำไรตามที่ต้องการ
Trailing Stops คือ การกำหนดจุดออกเมื่อทำกำไรได้สูงสุดแล้ว กล่าวคือเมื่อราคาขยับไปยังทิศทางทำกำไรได้มาก ระบบจะทำการติดตามเปรียบเทียบสัดส่วนการปรับตัวของราคา ถ้าราคาไม่ขยับไปยังทิศทางที่คาดการณ์ต่อไปเรื่อย ๆ แต่เด้งกลับไปยังทิศทางเดิม หรือกำไรน้อยลง ทางระบบจะปิดสถานะอัตโนมัติเพื่อรักษากำไรเอาไว้ให้ เช่น ซื้อ CFD ของคู่สกุลเงินหนึ่ง ราคา 1 ดอลลาร์ กำหนด Trailing Stop ไว้ 5% สมมติว่าราคาปรับไปเป็น 1.3 ดอลลาร์ จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าราคาขยับมาเป็น 1.22 (5% ของ 1.3 เท่ากับ 0.065 นี่คือมูลค่าที่ลดลง) ทางระบบจะตัดปิดสัญญาทันที
CFD, Futures, DW เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
CFD และ Futures ต่างเป็น Derivative หรือคืออนุพันธ์ทั้งสิ้น กล่าวคือเป็นสัญญาที่อ้างอิงราคาสินทรัพย์ เพียงแต่กรณีของ Future จะมีหน่วยงานกลางที่ควบคุมดูแล ในประเทศไทยคือ TFEX (Thailand Futures Exchange) ซึ่งโบรกเกอร์จะต้องเป็นสมาชิก จึงจะมี Future เป็นตัวเลือกให้สามารถเก็งกำไรได้ โดย Future เป็นสัญญาที่ต้องตรวจสอบให้ดีก่อนลงทุน เพราะบางสัญญาอาจจะผูกมัดการรับและส่งสินค้าตัวจริงหากถือสัญญาจนครบกำหนด
จุดแตกต่างระหว่าง CFD และ Future ที่สำคัญ
การซื้อขาย CFD เป็นธุรกรรมกับทางโบรกเกอร์ ขณะที่ Future เป็นธุรกรรมระหว่างบุคคล ทำให้การซื้อขาย CFD เกิดขึ้นได้เกือบตลอดเวลา จึงมีสภาพคล่องมากกว่า Futures
หน่วยลงทุนใน CFD คือ Lot ซึ่งราคาต่อหน่วยมีค่าคงที่ เวลาคำนวณกำไร คำนวณต่อหน่วยที่นักลงทุนเปิดสัญญาแต่ละครั้ง แต่ในสัญญา Futures ปริมาณหน่วยการลงทุนจะเป็นจำนวนหน่วยของสินทรัพย์อ้างอิง โดยถ้าหากมีปริมาณสินทรัพย์ในสัญญาสูง จะทำให้สำหรับผู้เทรดซึ่งต้องการสินค้าจริง จะพบว่าต้นทุนต่อหน่วยสินค้าต่ำ
CFD ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้สัญญามีวันหมดอายุแน่นอน แต่ในการถือข้ามคืนต้องจ่ายค่า Swap เป็นค่าธรรมเนียม ขณะที่ Futures แต่ละสัญญามีวันหมดอายุ
การซื้อขาย CFD สามารถกระทำได้ในปริมาณหน่วยลงทุนเพียงเล็กน้อย ขณะที่ Future จะต้องเปิดปริมาณการซื้อขายขั้นต่ำที่สูงกว่ามาก
ข้อดี VS ข้อเสีย ของการเทรด CFD คืออะไรบ้าง
ข้อดีของการเทรด CFD คือ
เทรดได้เกือบตลอด 24 ชั่วโมง 5 วัน ในกรณีของ FOREX และสกุลเงินดิจิทัล ตลอด 24 ชั่วโมง 7 วัน ทั้งนี้กรณีสินทรัพย์อื่นนอกจากสกุลเงินดิจิทัล จะมีเวลาปิดระหว่างวันในวันทำการด้วย แล้วแต่ตลาดอ้างอิงของสินทรัพย์ที่ซื้อขายกันจริง เทรดเดอร์ต้องตรวจสอบกับทางโบรกเกอร์เองว่ามีการดำเนินการตามเวลาเปิดทำการของสถาบันการเงินในต่างประเทศช่วงใด โดยทั่วไปช่วงปิดจะกินเวลา 1-3 ชั่วโมง
ไม่มีขั้นตอนยุ่งยากในการลงทะเบียนหรือการเทรด ใช้เพียง Basic CFD Order ก็สามารถเริ่มลงทุนได้
มีการให้ Leverage หรือเงินทด ช่วยขยายวงเงินในการลงทุน เช่น Leverage 1:200 ทำให้เงินทุนมูลค่า 1 ดอลลาร์ มีกำลังซื้อเท่ากับ 200 ดอลลาร์ในการเปิดสัญญาซื้อขาย
ตลาดมีสภาพคล่องสูง ไม่มีสภาวะรอซื้อหรือรอขาย สามารถเปิดสัญญาได้ตลอดเวลา
ข้อเสียของการเทรด CFD คือ
ไม่มีสินทรัพย์อยู่ในมือ มีเพียงสัญญาเก็งกำไร ดังนั้นการจะได้รับผลตอบแทนขึ้นอยู่กับ CFD Broker คือเป็นผู้ดำเนินกิจการโดยยึดหลักความโปร่งใสในการคืนผลตอบแทนจากส่วนต่างตามสัญญา CFD
เป็นการเก็งกำไรที่มีความเสี่ยงสูง เพราะราคาสินค้าอ้างอิงผันผวนในตลาดจากความต้องการซื้อและขายที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ความเสี่ยงที่สูง กระบวนการตัดสินใจ ต้องอาศัยความรู้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค พิจารณารูปแบบของกราฟ และใช้เครื่องมือวิเคราะห์ที่มีพื้นฐานจากการคำนวณทางการเงิน หากไม่เข้าใจการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะเกิดความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินทุนทั้งหมด
การถือข้ามคืน มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม Swap ในอัตราที่แตกต่างกันไป แต่จะไม่มีการเก็บในช่วงคืนวันเสาร์-อาทิตย์ สำหรับกลุ่มคู่สกุลเงิน แต่หากถือยาวและข้ามคืนวันพุธ ในคืนวันพุธจะเรียกเก็บค่า Swap เป็นสามเท่า
วิธีคำนวณขนาดของ CFD
เมื่อกดเปิดสถานะซื้อ (Buy) หรือขาย (Sell) เท่ากับเป็นการซื้อสัญญาจากทางโบรกเกอร์ โดยผู้ซื้อซึ่งคือเทรดเดอร์สามารถเลือกกำหนดขนาด Lots บนสัญญา CFD
ขนาดของ Lot จะขึ้นอยู่กับประเภทของบัญชีที่เทรดเดอร์สามารถเปิดกับโบรกเกอร์ได้
1 Nano Lot Size เท่ากับการกดซื้อทีเดียว 100 หน่วยลงทุน
1 Micro Lot Size เท่ากับการกดซื้อทีเดียว 1,000 หน่วยลงทุน
1 Mini Lot Size เท่ากับการกดซื้อทีเดียว 10,000 หน่วยลงทุน
1 Standard Lot Size เท่ากับการกดซื้อทีเดียว 100,000 หน่วยลงทุน
สมมติว่าใช้บัญชีประเภท Standard ซึ่งเป็นประเภทบัญชีที่พบเห็นทั่วไปในการบริหารจัดการของ CFD Broker ทางเทรดเดอร์สามารถเลือกลงทุนเบื้องต้นที่ 0.01 Lot เป็นปริมาณการลงทุนที่น้อยที่สุดซึ่งทางโบรกเกอร์กำหนด ซึ่งจะเท่ากับว่าลงทุน 1,000 หน่วยในทีเดียว ถ้าหากว่าสินทรัพย์อ้างอิงคือคู่สกุลเงิน EUR/GBP โดยเลือกเก็งกำไรขาขึ้นที่ราคาเสนอขาย 1.24886 เป็นราคาต้นทุนตอนเปิดสัญญา Buy (Long) และเลือกปิดสัญญาเมื่อราคาเสนอซื้ออยู่ที่ 1.25620 จะคำนวณหากำไรได้ ดังนี้
Profit = (Close Price - Open Price) x Lots x Contract Size
= (1.25820 - 1.24886) x 0.01 x 100,000 = 9.34 GBP หรือ 409.75 บาท
ทั้งนี้ ทางเทรดเดอร์ควรเข้าใจเรื่อง Pip Value ซึ่งคือมูลค่าการเคลื่อนที่ของราคาที่ขนาด 0.0001 หน่วย (หรือกรณีเทรดคู่สกุลเงินเยน ขนาด Pip Size อยู่ที่ 0.01) ค่า Pip Value จะระบุว่าเมื่อราคาเปลี่ยนแปลงที่ 0.0001 จะเป็นผลให้ได้กำไรหรือขาดทุนเท่าใด
การทราบ Pip Value จะช่วยทำให้ประเมินความเสี่ยงได้ โดยค่า Pip จะสื่อถึงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างคู่สกุลเงิน กรณีที่เทรดสกุลเงินระหว่างประเทศ (FOREX) หรือกรณีเทรด CFD อ้างอิงสินทรัพย์อย่างอื่น แสดงถึงความผันผวนของราคาสินทรัพย์นั้น
อย่างกรณีของ EUR/GBP ดังที่กล่าวไป
Pip Value = Lot Size Unit x Contract Size x Pip Size
= 0.01 x 100,000 x 0.0001
= 0.10 GBP
นอกจากนี้ ในลำดับต่อไป อาจจะใช้ค่า Pip Value ที่ได้เพื่อตรวจสอบมูลค่าของความต่างระหว่างราคาซื้อและราคาขายที่เรียกว่า Spread ซึ่งเป็นเหมือนต้นทุนแฝงในการเปิดสัญญาซื้อขายแต่ละครั้ง โดย Spread มักจะปรับเปลี่ยนขนาดตามแต่ความต่างของราคาเสนอซื้อและขายในตลาดจริง ถ้าหากทราบ Pip Value และสังเกตค่า Spread ก็จะสามารถคำนวณออกมาได้แต่แรกว่าสัญญาที่เปิดนั้นมีต้นทุนค่า Spread เท่าไร
กรณี Spread ของ EUR/GBP เท่ากับ 1.6 Pips
จากการหาค่า Pip Value พบว่าเท่ากับ 0.10 GBP ต่อ Pip
ดังนั้นเมื่อ Spread อยู่ที่ 1.6 Pips คำนวณออกมาเป็นต้นทุนในการเปิดสัญญาซื้อขาย เพียงแค่กด Buy หรือ Sale ทางเทรดเดอร์ก็จะโดนหักไปเท่ากับ 1.6 Pips x 0.10 หรือ Pips x Pip Value เท่ากับ 0.16 GBP หรือ 7.02 บาทในทันที
หลายท่านอาจรู้สึกกังวลในการเทรดจริง ถ้าจะต้องมาคำนวณเช่นนี้ทุกรายการเปิดสัญญาซื้อขาย ราคาก็อาจจะปรับเปลี่ยนไปเยอะแล้ว อันที่จริงนั้น เรื่องการเสียเวลาในการคำนวณไม่ใช่เรื่องที่หลาย ๆ ท่านต้องกังวล โดยในโบรกเกอร์ทั่วไปจะมีบริการ Trader’s Calculator ไว้ให้บริการ โดยกำหนดช่องที่สามารถกรอกตัวเลขเข้าไปได้เลย จะเห็นค่าที่คำนวณออกมาทันที
เพิ่มอำนาจการเทรดด้วย Leverage
ในการเทรด CFD ทางโบรกเกอร์จะให้มูลค่าทดที่จะเพิ่มอำนาจของการลงทุนให้แก่นักลงทุน โดยเรียกว่า เลเวอเรจ (Leverage) โดยโบรกเกอร์อาจจะกำหนดให้โดยอัตโนมัติเมื่อเปิดบัญชี หรือว่าเทรดเดอร์ต้องเลือกเองตั้งแต่ต้นในตอนเปิดบัญชีซื้อขาย โดยตัวเลขเลเวอเรจ คือมูลค่าทวีคูณบนเงินต้นที่ฝากเข้าบัญชีซื้อขาย
หากมีเงิน 5,000 บาท เจอ Leverage 1:200 จะทำให้เปิดสัญญาที่มูลค่าสูงสุดที่ 5,000 x 200 = 1,000,000 ซึ่งทำให้สามารถทำกำไรได้เยอะ จากเงินลงทุนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ตามทางโบรกเกอร์จะดึงยอดเงินในบัญชีจำนวนหนึ่งเป็นประกันไว้ เรียกว่ามาร์จิ้นโดยเงินคงเหลือในบัญชีซื้อขายจะเรียกว่า Freeมาร์จิ้นจะมีขนาดน้อยกว่ามาร์จิ้นที่กำหนดไว้เป็นหลักประกันไม่ได้ ไม่เช่นนั้นบัญชีจะถูก Stop Out หรือก็คือปิดบัญชีจากทางโบรกเกอร์อัตโนมัติเพราะเงินลงทุนเหลือต่ำกว่าระดับเงินประกัน (Margin) การโดน Stop Out เทรดเดอร์จะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดไป
ในการจะเปิดสัญญาซื้อหรือขาย คุณต้องตรวจสอบออเดอร์ก่อนส่งคำยืนยัน เพราะปัจจุบันเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ กดเพียงหนึ่งหรือสองครั้ง สัญญาก็เปิดขึ้น โดยเฉพาะมือใหม่หลายท่านลืมมองการคำนวณมาร์จิ้นพอกดเปิดสัญญาทีเดียวก็ต้องตกใจกับระดับมาร์จิ้นที่ถูกเรียกไป
สูตรการคำนวณ Margin
Margin = (Lots x Contract Size)/Leverage Level
ถ้าสมมติว่าใช้ Leverage ที่ 1:200
คำนวณค่ามาร์จิ้น = (0.01x 100,000)/200 = 5 GBP หรือ 219.375 บาท
การใช้มาร์จิ้นเช่นนี้ทำให้แม้มีเงินหลักพันก็สามารถลงทุนได้ อย่างกรณีตัวอย่างคือ EUR/GBP และนอกจากนี้ สำหรับโบรกเกอร์บางรายได้ยกเว้นการเรียกเก็บประกันมาร์จิ้นซึ่งทำให้คุณลงทุนได้โดยอาจเริ่มต้นแค่ที่ 500 บาทเท่านั้น เปรียบเทียบกับการไม่มีมาร์จิ้นคือต่างกันมาก ซึ่งต้องใช้เงินทุนสูง ขั้นต่ำ 1,000 GBP หรือ 43,875 บาท
กรณีที่เป็น Stock CFD Margins คือกำหนดมาร์จิ้นสำหรับ CFD หุ้น ก็ไม่ได้คำนวณแตกต่างจากกรณีของคู่สกุลเงินแต่อย่างใด แต่ข้อพึงระวังคือข้อกำหนดการให้ Leverage แบบเจาะจงสินทรัพย์อ้างอิงที่อาจให้ Leverage แก่หุ้นมากกว่าหรือน้อยกว่าการเทรด CFD อ้างอิงสินทรัพย์อื่นภายใต้บัญชีลงทุนเดียวกัน ซึ่งจะมีผลต่อปริมาณเงินประกัน (Margin) ที่เรียกไว้
เนื่องจากการลงทุนใน CFD เป็นช่องทางให้คนที่มีเงินน้อยสามารถลงทุนได้อย่างง่ายดาย จึงดึงดูดเทรดเดอร์หน้าใหม่เข้ามาเสมอ หากไม่มีการศึกษาการคำนวณต้นทุนการเปิดสัญญาซื้อขาย เทรดเดอร์อาจจะมองไม่เห็นความเสี่ยงของการเทรดด้วย Leverage ซึ่งจริง ๆ แล้ว เทรดเดอร์มืออาชีพทำความเข้าใจกันดีและพยายามหลีกเลี่ยงที่จะใช้ Leverage ในการเทรดโดยสำรองเงินทุนในบัญชีเพียงพอกับมูลค่าเต็มในการเปิดสัญญา และใช้ Leverage แค่เฉพาะกรณีที่ราคาผันผวนสูงและต้องการถือยาว ด้วย Leverage ทำให้พอร์ตทนทานต่อการแกว่งของราคา
กรณีที่มีเงินน้อย สมมติที่ 1,000 บาท ถ้าเข้ามาเทรด EUR/GBP แล้วเก็งกำไรได้ถูกทิศทาง ผลตอบแทนที่ได้รับตามตัวอย่างที่ให้ไปข้างต้น คือ 409.75 บาท แต่ในทางกลับกัน หากราคาจริงเป็นแนวโน้มขาลง และขาดทุนไปถึง 1,000 - 409.75 = 590.25 ก็จะทำให้สูญเสียเงินทุนทั้งหมด 1,000 บาททันที
เริ่มต้นเทรดด้วย CFD ได้อย่างไร
เงินทุนการเทรด CFD
โบรกเกอร์บางรายอนุมัติเปิดบัญชีที่เงินฝากขั้นต่ำเพียง 50 เหรียญ สำหรับกรณีเปิดบัญชี Standard แต่ในหลายเจ้าอาจจะกำหนดเงินฝากขั้นต่ำสูงกว่านั้นที่ 1,000 เหรียญ ซึ่งคำถามว่าเงินทุนการเทรดที่เหมาะสมควรเริ่มต้นเท่าไร คำแนะนำในเรื่องนี้ หากสังเกตจากพฤติกรรมของนักลงทุนมืออาชีพ ปริมาณเงินที่เหมาะสมขั้นต่ำ คือควรจะมีมากพอที่จะครอบคลุมมูลค่าที่แท้จริงของปริมาณหน่วยลงทุนที่เปิดสัญญา เพราะ Leveage สมควรถูกใช้เพื่อจำกัดความเสี่ยงมากกว่าการนำมาเก็งกำไร
อย่างไรก็ตาม การที่โบรกเกอร์ไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมมาร์จิ้นและบางโบรกเกอร์ให้ Leverage ที่สูงมาก ๆ หากเทรดเดอร์ศึกษาจนพอใจแล้ว และได้ทดลองเทรดกับบัญชีทดลองจนมั่นใจ จะนำความรู้ที่ได้มาลองลงทุนจริง ๆ ดู ก็ไม่ใช่เรื่องที่คนอื่นจะมาตัดสินว่าไม่ควรทำ เพราะการลงมือต่างหากที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ การทดลองเล่นกับบัญชีจริงของตัวเอง จะทำให้เข้าใจความรู้สึกของการสูญเสีย และฝึกฝนการเทรดบนระบบ หรือการทำซ้ำ ๆ ในวิธีที่ได้ผล แทนการใช้อารมณ์
การเทรด CFD มีแค่เลือกว่าราคาเป็นขาขึ้นหรือขาลง หลายคนอาจคิดว่านี่ไม่ต่างจากการพนัน แต่จริง ๆ แล้วรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคาเป็นจิตวิทยา และกราฟกับเครื่องมือวิเคราะห์จะช่วยชี้ให้เห็นทิศทางแนวโน้ม ซึ่งเป็นการใช้หลักสถิติเพื่อการตัดสินใจ ตราบใดที่ไม่ได้ตัดสินใจแค่เพียงตามอารมณ์ การเทรด CFD ก็ถือเป็นการเก็งกำไร ไม่ใช่การพนัน
โบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ
เทรดเดอร์ควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของโบรกเกอร์ โดยสังเกตว่าได้รับการตรวจสอบและกำกับดูแลจากหน่วยงานแห่งใดแห่งหนึ่ง หรือมากกว่าหนึ่งแห่งตามรายนามต่อไปนี้ คือ
FCA (Financial Conduct Authority) คือ องค์กรกำกับทางการเงิน สหราชอาณาจักร
ASIC (Australian Securities and Investments Commission) คือ สำนักคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และการลงทุน ประเทศออสเตรเลีย
CySEC (Cyrus Securities and Exchange Commission) คือ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ประเทศไซปรัส
NFA (National Futures Association) เป็นหน่วยงานในสหรัฐอเมริกา
FSC (The Financial Services Commission) เป็นหน่วยงานในเบลีซ อเมริกากลาง
ประเทศไทยไม่มีกฎหมายรองรับการลงทุน CFD จึงไม่มีการจัดตั้งโบรกเกอร์ที่จดทะเบียนกับองค์กรในประเทศไทย แต่การเทรดไม่ได้เป็นสิ่งผิดกฎหมาย สามารถเปิดบัญชีและเทรดได้ โดยรายได้หักต้นทุนจะต้องนำมายื่นเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีด้วย
สินทรัพย์อ้างอิงที่สนใจติดตามราคา
โบรกเกอร์แต่ละเจ้ามีสินทรัพย์อ้างอิงสำหรับการเทรด CFD ยอดนิยม คือ CFD ของ FOREX ที่อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนคู่สกุลเงิน แต่ก็ยังมีสินทรัพย์อ้างอิงอื่น ๆ ในกลุ่มหุ้น ดัชนีหุ้น สกุลเงินดิจิทัล โภคภัณฑ์ พลังงาน ให้อ้างอิงราคาเป็นที่ปรากฏ โดยรายการย่อยของสินทรัพย์อ้างอิงแตกต่างกันไปในแต่ละโบรกเกอร์ ซึ่งทางโบรกเกอร์มักให้บริการบทวิเคราะห์ และปฏิทินทางเศรษฐกิจที่อัปเดตเหตุการณ์สำคัญที่จะกระทบต่อการปรับเปลี่ยนของราคาไว้ให้ แต่ตัวเทรดเดอร์เองก็ควรเลือกลงทุนใน CFD ที่อ้างอิงสินทรัพย์ซึ่งตนเองสนใจในการติดตามราคา
ทั้งนี้ การเลือกสินทรัพย์ ยังอาจจะพิจารณาปัจจัยเรื่องเงินทุนประกอบ ถ้าหากเงินทุนน้อย ควรหลีกเลี่ยงสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทโลหะและพลังงาน แต่คู่สกุลเงินเป็นตัวเลือกที่ดี โดยเฉพาะคู่สกุลเงินยอดนิยมที่มีสภาพคล่องสูง ทางโบรกเกอร์มักจะยกเว้นค่าธรรมเนียมมาร์จิ้นและกำหนดค่า Spread ในขอบเขตที่ต่ำ
ประเภทบัญชีและสิทธิประโยชน์
ประเภทบัญชีของโบรกเกอร์แต่ละเจ้า มักออกแบบมาให้มีขั้นต่ำในการเปิดบัญชีที่แตกต่างกัน ทั้งนี้บัญชีแบบธรรมดา หรือ Stardard มักจะอนุมัติเปิดบัญชีที่เงินทุนต่ำมาก แต่จะไปเก็บค่าสเปรดที่สูงกว่าบัญชีที่กำหนดเงินทุนขั้นต่ำ แต่ขณะเดียวกัน บัญชี Standard จะไม่มีการเรียกเก็บค่า Commission ต่อ Lot การเทรด
ในส่วนบัญชีที่มีการเรียกเก็บเงินขั้นต่ำที่ประมาณ 1,000 ดอลลาร์ขึ้นไป มักจะเป็นบัญชีที่มีค่า Spread โดยเฉลี่ยต่ำกว่าแบบ Standard ซึ่งถ้าเทรดได้อย่างแม่นยำ จะได้กำไรต่อทุนสูงตามที่หวังไว้ โดยสิ่งที่จะต้องแลกเปลี่ยนกัน คือบัญชีเหล่านี้ที่มักจะแนะนำว่าเหมาะกับนักลงทุนที่ชำนาญ มักกำหนดให้มีการชำระค่าธรรมเนียมต่อ Lot ให้กับทางโบรกเกอร์
นอกจากนี้ บางโบรกเกอร์ยังจัดให้มีบริการบัญชีสำหรับผู้นับถือศาสนาอิสลามซึ่งการดำเนินธุรกิจและแสวงหากำไรต้องเป็นไปตามหลักศาสนาอย่างถูกต้องเหมาะสม
บัญชีที่ต่างประเภทกันซึ่งทางโบรกเกอร์ให้บริการ ยังกำหนดขนาดของ Lot เริ่มต้นให้มีจำนวนหน่วยลงทุนที่ต่างกันด้วย คุณควรใช้เวลาศึกษารายละเอียดของบัญชีแต่ละประเภท สิทธิประโยชน์ สัดส่วน Leverage ก็อาจแตกต่างกันระหว่างประเภทบัญชี นอกจากนี้ ยังมีสิทธิพิเศษจากโบรกเกอร์รายต่าง ๆ ด้วย เช่นให้เงินโบนัสที่ทำให้บัญชีสามารถทนต่อความผันผวนได้มากกว่าเงินลงทุนตั้งต้น หรือสามารถขอเงินคืนได้ต่อล็อต หรือมีการสะสมแต้มจากความถี่ในการเทรดเพื่อแลกของรางวัล เป็นต้น
บทส่งท้าย
การลงทุน CFD ไม่ใช่เรื่องยาก กระบวนการเปิดบัญชีทำได้รวดเร็วในเวลาไม่กี่นาที และสามารถเลือกลงทุนด้วยเงินก้อนเล็ก หรือก้อนใหญ่ตามแต่ความสามารถในการลงทุน อย่างไรก็ตามเทรดเดอร์จะต้องเลือกออมเงินบางส่วนไว้ด้วย ไม่ควรนำเงินทั้งหมดมาลงทุนกับ CFD เพราะนี่เป็นสินทรัพย์ทางการเงินที่มีความเสี่ยงสูงมาก
เนื่องจากความเสี่ยง คุณจึงควรศึกษาและฝึกฝนก่อนในบัญชีทดลองซึ่งโบรกเกอร์แต่ละรายมีให้บริการ โดยเบื้องต้น ความรู้ที่จะขาดไม่ได้คือการเข้าใจในประเภทของบัญชี การทำกำไรจากการเปิดสัญญาซื้อขายโดยใช้ CFD Order Type ตลอดจนเข้าใจแนวคิดเรื่อง Leverage, Lot, Pip, Spread, และมาร์จิ้นที่มีผลทำให้ตัดสินใจเลือกเทรด CFD บนราคาสินทรัพย์อ้างอิง มีความสอดคล้องกับงบประมาณ ทำให้มีเงินทุนในบัญชีซื้อขายเผื่อเหลือเผื่อขาดสำหรับการแกว่งของราคา ไม่ปล่อยให้ทุนติดลบจนโดนโบรกเกอร์ Stop Out ปิดบัญชีให้อัตโนมัติ
CFD คือเครื่องมือทางการเงินแบบไหน
CFD คือสัญญาซื้อขายส่วนต่าง (Contract for Different) เป็นเครื่องมือทางการเงินในกลุ่มอนุพันธ์ มีลักษณะเป็นเอกสารสัญญาที่อ้างอิงราคาของสินทรัพย์ และผู้ถือสัญญาจะทำกำไรจากส่วนต่างของราคาที่กำหนดในสัญญากับราคาตลาด มักใช้เป็นเครื่องมือการลงทุนกับสินค้าที่ราคามีความผันผวนสูง เช่น สกุลเงินต่างประเทศ สินค้าโภคภัณฑ์ หุ้น พลังงาน สินค้าเกษตร หรือสกุลเงินดิจิทัล โดยคุณไม่จำเป็นต้องมีสินทรัพย์อ้างอิงเหล่านั้นไว้ในครอบครอง
โบรกเกอร์จดทะเบียนเพื่อขาย CFD (CFD Broker) ดำเนินการเป็น “ผู้ขาย” ขณะที่ทางเทรดเดอร์จะเป็น “ผู้ซื้อ” โดยสัญญาที่โบรกเกอร์ขายให้แก่เทรดเดอร์จะแบ่งเป็นสองประเภทใหญ่ ตามทิศทางการเก็งกำไรของราคา นั่นจึงมหมายความว่า การเทรด CFD คือโอกาสในการสร้างผลตอบแทนทั้งในยามราคาปรับขึ้นและราคาปรับลง
Buy - สถานะ Long หากคุณคาดว่าราคาจะปรับตัวขึ้น ราคาอ้างอิงสินทรัพย์ตามสัญญาจะเป็นราคาเสนอขาย (ฺAsk Price) ในตลาดจริง โดยจะถูกนำมาเปรียบเทียบหาส่วนต่างกับราคาเสนอซื้อ (Bid Price) ในตลาดจริง ถ้าหากราคาเสนอซื้อสูงกว่าราคาเสนอขายที่อ้างอิงตอนปิดสัญญา (ปิดตำแหน่งการขาย/ปิด Position) เทรดเดอร์จะได้กำไร
Sell - สถานะ Short หากคุณคาดว่าราคาจะปรับตัวลง ราคาอ้างอิงสินทรัพย์ตามสัญญาจะเป็นราคาเสนอซื้อ (ฺฺBid Price) ในตลาดจริง โดยจะถูกนำมาเปรียบเทียบหาส่วนต่างกับราคาเสนอขาย (Ask Price) ในตลาดจริง ถ้าหากราคาเสนอขายต่ำกว่าราคาเสนอซื้อที่อ้างอิงตอนปิดสัญญา (ปิดตำแหน่งการขาย/ปิด Position) เทรดเดอร์จะได้กำไร
คำสั่งทั่วไปที่เป็นพื้นฐานการเทรด CFD (Basic CFD Order Type) นอกจาก Buy และ Sell แล้ว ยังมีคำสั่งพื้นฐานอื่น ๆ ดังต่อไปนี้
Stop Loss คือ กำหนดราคาที่ต้องการปิดสถานะไว้ล่วงหน้า ในระดับที่การขาดทุนอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ การใช้คำสั่งนี้เพื่อควบคุมความเสียหายที่เกิดกับพอร์ตลงทุน และนำเงินลงทุนที่เหลือไปลงทุนอย่างเหมาะสมต่อไป
Take Profit คือ กำหนดราคาที่ต้องการปิดสถานะไว้ล่วงหน้า ในระดับที่ทำกำไรตามที่ต้องการ
Trailing Stops คือ การกำหนดจุดออกเมื่อทำกำไรได้สูงสุดแล้ว กล่าวคือเมื่อราคาขยับไปยังทิศทางทำกำไรได้มาก ระบบจะทำการติดตามเปรียบเทียบสัดส่วนการปรับตัวของราคา ถ้าราคาไม่ขยับไปยังทิศทางที่คาดการณ์ต่อไปเรื่อย ๆ แต่เด้งกลับไปยังทิศทางเดิม หรือกำไรน้อยลง ทางระบบจะปิดสถานะอัตโนมัติเพื่อรักษากำไรเอาไว้ให้ เช่น ซื้อ CFD ของคู่สกุลเงินหนึ่ง ราคา 1 ดอลลาร์ กำหนด Trailing Stop ไว้ 5% สมมติว่าราคาปรับไปเป็น 1.3 ดอลลาร์ จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าราคาขยับมาเป็น 1.22 (5% ของ 1.3 เท่ากับ 0.065 นี่คือมูลค่าที่ลดลง) ทางระบบจะตัดปิดสัญญาทันที
CFD, Futures, DW เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
CFD และ Futures ต่างเป็น Derivative หรือคืออนุพันธ์ทั้งสิ้น กล่าวคือเป็นสัญญาที่อ้างอิงราคาสินทรัพย์ เพียงแต่กรณีของ Future จะมีหน่วยงานกลางที่ควบคุมดูแล ในประเทศไทยคือ TFEX (Thailand Futures Exchange) ซึ่งโบรกเกอร์จะต้องเป็นสมาชิก จึงจะมี Future เป็นตัวเลือกให้สามารถเก็งกำไรได้ โดย Future เป็นสัญญาที่ต้องตรวจสอบให้ดีก่อนลงทุน เพราะบางสัญญาอาจจะผูกมัดการรับและส่งสินค้าตัวจริงหากถือสัญญาจนครบกำหนด
จุดแตกต่างระหว่าง CFD และ Future ที่สำคัญ
การซื้อขาย CFD เป็นธุรกรรมกับทางโบรกเกอร์ ขณะที่ Future เป็นธุรกรรมระหว่างบุคคล ทำให้การซื้อขาย CFD เกิดขึ้นได้เกือบตลอดเวลา จึงมีสภาพคล่องมากกว่า Futures
หน่วยลงทุนใน CFD คือ Lot ซึ่งราคาต่อหน่วยมีค่าคงที่ เวลาคำนวณกำไร คำนวณต่อหน่วยที่นักลงทุนเปิดสัญญาแต่ละครั้ง แต่ในสัญญา Futures ปริมาณหน่วยการลงทุนจะเป็นจำนวนหน่วยของสินทรัพย์อ้างอิง โดยถ้าหากมีปริมาณสินทรัพย์ในสัญญาสูง จะทำให้สำหรับผู้เทรดซึ่งต้องการสินค้าจริง จะพบว่าต้นทุนต่อหน่วยสินค้าต่ำ
CFD ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้สัญญามีวันหมดอายุแน่นอน แต่ในการถือข้ามคืนต้องจ่ายค่า Swap เป็นค่าธรรมเนียม ขณะที่ Futures แต่ละสัญญามีวันหมดอายุ
การซื้อขาย CFD สามารถกระทำได้ในปริมาณหน่วยลงทุนเพียงเล็กน้อย ขณะที่ Future จะต้องเปิดปริมาณการซื้อขายขั้นต่ำที่สูงกว่ามาก
ข้อดี VS ข้อเสีย ของการเทรด CFD คืออะไรบ้าง
ข้อดีของการเทรด CFD คือ
เทรดได้เกือบตลอด 24 ชั่วโมง 5 วัน ในกรณีของ FOREX และสกุลเงินดิจิทัล ตลอด 24 ชั่วโมง 7 วัน ทั้งนี้กรณีสินทรัพย์อื่นนอกจากสกุลเงินดิจิทัล จะมีเวลาปิดระหว่างวันในวันทำการด้วย แล้วแต่ตลาดอ้างอิงของสินทรัพย์ที่ซื้อขายกันจริง เทรดเดอร์ต้องตรวจสอบกับทางโบรกเกอร์เองว่ามีการดำเนินการตามเวลาเปิดทำการของสถาบันการเงินในต่างประเทศช่วงใด โดยทั่วไปช่วงปิดจะกินเวลา 1-3 ชั่วโมง
ไม่มีขั้นตอนยุ่งยากในการลงทะเบียนหรือการเทรด ใช้เพียง Basic CFD Order ก็สามารถเริ่มลงทุนได้
มีการให้ Leverage หรือเงินทด ช่วยขยายวงเงินในการลงทุน เช่น Leverage 1:200 ทำให้เงินทุนมูลค่า 1 ดอลลาร์ มีกำลังซื้อเท่ากับ 200 ดอลลาร์ในการเปิดสัญญาซื้อขาย
ตลาดมีสภาพคล่องสูง ไม่มีสภาวะรอซื้อหรือรอขาย สามารถเปิดสัญญาได้ตลอดเวลา
ข้อเสียของการเทรด CFD คือ
ไม่มีสินทรัพย์อยู่ในมือ มีเพียงสัญญาเก็งกำไร ดังนั้นการจะได้รับผลตอบแทนขึ้นอยู่กับ CFD Broker คือเป็นผู้ดำเนินกิจการโดยยึดหลักความโปร่งใสในการคืนผลตอบแทนจากส่วนต่างตามสัญญา CFD
เป็นการเก็งกำไรที่มีความเสี่ยงสูง เพราะราคาสินค้าอ้างอิงผันผวนในตลาดจากความต้องการซื้อและขายที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ความเสี่ยงที่สูง กระบวนการตัดสินใจ ต้องอาศัยความรู้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค พิจารณารูปแบบของกราฟ และใช้เครื่องมือวิเคราะห์ที่มีพื้นฐานจากการคำนวณทางการเงิน หากไม่เข้าใจการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะเกิดความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินทุนทั้งหมด
การถือข้ามคืน มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม Swap ในอัตราที่แตกต่างกันไป แต่จะไม่มีการเก็บในช่วงคืนวันเสาร์-อาทิตย์ สำหรับกลุ่มคู่สกุลเงิน แต่หากถือยาวและข้ามคืนวันพุธ ในคืนวันพุธจะเรียกเก็บค่า Swap เป็นสามเท่า
วิธีคำนวณขนาดของ CFD
เมื่อกดเปิดสถานะซื้อ (Buy) หรือขาย (Sell) เท่ากับเป็นการซื้อสัญญาจากทางโบรกเกอร์ โดยผู้ซื้อซึ่งคือเทรดเดอร์สามารถเลือกกำหนดขนาด Lots บนสัญญา CFD
ขนาดของ Lot จะขึ้นอยู่กับประเภทของบัญชีที่เทรดเดอร์สามารถเปิดกับโบรกเกอร์ได้
1 Nano Lot Size เท่ากับการกดซื้อทีเดียว 100 หน่วยลงทุน
1 Micro Lot Size เท่ากับการกดซื้อทีเดียว 1,000 หน่วยลงทุน
1 Mini Lot Size เท่ากับการกดซื้อทีเดียว 10,000 หน่วยลงทุน
1 Standard Lot Size เท่ากับการกดซื้อทีเดียว 100,000 หน่วยลงทุน
สมมติว่าใช้บัญชีประเภท Standard ซึ่งเป็นประเภทบัญชีที่พบเห็นทั่วไปในการบริหารจัดการของ CFD Broker ทางเทรดเดอร์สามารถเลือกลงทุนเบื้องต้นที่ 0.01 Lot เป็นปริมาณการลงทุนที่น้อยที่สุดซึ่งทางโบรกเกอร์กำหนด ซึ่งจะเท่ากับว่าลงทุน 1,000 หน่วยในทีเดียว ถ้าหากว่าสินทรัพย์อ้างอิงคือคู่สกุลเงิน EUR/GBP โดยเลือกเก็งกำไรขาขึ้นที่ราคาเสนอขาย 1.24886 เป็นราคาต้นทุนตอนเปิดสัญญา Buy (Long) และเลือกปิดสัญญาเมื่อราคาเสนอซื้ออยู่ที่ 1.25620 จะคำนวณหากำไรได้ ดังนี้
Profit = (Close Price - Open Price) x Lots x Contract Size
= (1.25820 - 1.24886) x 0.01 x 100,000 = 9.34 GBP หรือ 409.75 บาท
ทั้งนี้ ทางเทรดเดอร์ควรเข้าใจเรื่อง Pip Value ซึ่งคือมูลค่าการเคลื่อนที่ของราคาที่ขนาด 0.0001 หน่วย (หรือกรณีเทรดคู่สกุลเงินเยน ขนาด Pip Size อยู่ที่ 0.01) ค่า Pip Value จะระบุว่าเมื่อราคาเปลี่ยนแปลงที่ 0.0001 จะเป็นผลให้ได้กำไรหรือขาดทุนเท่าใด
การทราบ Pip Value จะช่วยทำให้ประเมินความเสี่ยงได้ โดยค่า Pip จะสื่อถึงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างคู่สกุลเงิน กรณีที่เทรดสกุลเงินระหว่างประเทศ (FOREX) หรือกรณีเทรด CFD อ้างอิงสินทรัพย์อย่างอื่น แสดงถึงความผันผวนของราคาสินทรัพย์นั้น
อย่างกรณีของ EUR/GBP ดังที่กล่าวไป
Pip Value = Lot Size Unit x Contract Size x Pip Size
= 0.01 x 100,000 x 0.0001
= 0.10 GBP
นอกจากนี้ ในลำดับต่อไป อาจจะใช้ค่า Pip Value ที่ได้เพื่อตรวจสอบมูลค่าของความต่างระหว่างราคาซื้อและราคาขายที่เรียกว่า Spread ซึ่งเป็นเหมือนต้นทุนแฝงในการเปิดสัญญาซื้อขายแต่ละครั้ง โดย Spread มักจะปรับเปลี่ยนขนาดตามแต่ความต่างของราคาเสนอซื้อและขายในตลาดจริง ถ้าหากทราบ Pip Value และสังเกตค่า Spread ก็จะสามารถคำนวณออกมาได้แต่แรกว่าสัญญาที่เปิดนั้นมีต้นทุนค่า Spread เท่าไร
กรณี Spread ของ EUR/GBP เท่ากับ 1.6 Pips
จากการหาค่า Pip Value พบว่าเท่ากับ 0.10 GBP ต่อ Pip
ดังนั้นเมื่อ Spread อยู่ที่ 1.6 Pips คำนวณออกมาเป็นต้นทุนในการเปิดสัญญาซื้อขาย เพียงแค่กด Buy หรือ Sale ทางเทรดเดอร์ก็จะโดนหักไปเท่ากับ 1.6 Pips x 0.10 หรือ Pips x Pip Value เท่ากับ 0.16 GBP หรือ 7.02 บาทในทันที
หลายท่านอาจรู้สึกกังวลในการเทรดจริง ถ้าจะต้องมาคำนวณเช่นนี้ทุกรายการเปิดสัญญาซื้อขาย ราคาก็อาจจะปรับเปลี่ยนไปเยอะแล้ว อันที่จริงนั้น เรื่องการเสียเวลาในการคำนวณไม่ใช่เรื่องที่หลาย ๆ ท่านต้องกังวล โดยในโบรกเกอร์ทั่วไปจะมีบริการ Trader’s Calculator ไว้ให้บริการ โดยกำหนดช่องที่สามารถกรอกตัวเลขเข้าไปได้เลย จะเห็นค่าที่คำนวณออกมาทันที
เพิ่มอำนาจการเทรดด้วย Leverage
ในการเทรด CFD ทางโบรกเกอร์จะให้มูลค่าทดที่จะเพิ่มอำนาจของการลงทุนให้แก่นักลงทุน โดยเรียกว่า เลเวอเรจ (Leverage) โดยโบรกเกอร์อาจจะกำหนดให้โดยอัตโนมัติเมื่อเปิดบัญชี หรือว่าเทรดเดอร์ต้องเลือกเองตั้งแต่ต้นในตอนเปิดบัญชีซื้อขาย โดยตัวเลขเลเวอเรจ คือมูลค่าทวีคูณบนเงินต้นที่ฝากเข้าบัญชีซื้อขาย
หากมีเงิน 5,000 บาท เจอ Leverage 1:200 จะทำให้เปิดสัญญาที่มูลค่าสูงสุดที่ 5,000 x 200 = 1,000,000 ซึ่งทำให้สามารถทำกำไรได้เยอะ จากเงินลงทุนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ตามทางโบรกเกอร์จะดึงยอดเงินในบัญชีจำนวนหนึ่งเป็นประกันไว้ เรียกว่ามาร์จิ้นโดยเงินคงเหลือในบัญชีซื้อขายจะเรียกว่า Freeมาร์จิ้นจะมีขนาดน้อยกว่ามาร์จิ้นที่กำหนดไว้เป็นหลักประกันไม่ได้ ไม่เช่นนั้นบัญชีจะถูก Stop Out หรือก็คือปิดบัญชีจากทางโบรกเกอร์อัตโนมัติเพราะเงินลงทุนเหลือต่ำกว่าระดับเงินประกัน (Margin) การโดน Stop Out เทรดเดอร์จะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดไป
ในการจะเปิดสัญญาซื้อหรือขาย คุณต้องตรวจสอบออเดอร์ก่อนส่งคำยืนยัน เพราะปัจจุบันเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ กดเพียงหนึ่งหรือสองครั้ง สัญญาก็เปิดขึ้น โดยเฉพาะมือใหม่หลายท่านลืมมองการคำนวณมาร์จิ้นพอกดเปิดสัญญาทีเดียวก็ต้องตกใจกับระดับมาร์จิ้นที่ถูกเรียกไป
สูตรการคำนวณ Margin
Margin = (Lots x Contract Size)/Leverage Level
ถ้าสมมติว่าใช้ Leverage ที่ 1:200
คำนวณค่ามาร์จิ้น = (0.01x 100,000)/200 = 5 GBP หรือ 219.375 บาท
การใช้มาร์จิ้นเช่นนี้ทำให้แม้มีเงินหลักพันก็สามารถลงทุนได้ อย่างกรณีตัวอย่างคือ EUR/GBP และนอกจากนี้ สำหรับโบรกเกอร์บางรายได้ยกเว้นการเรียกเก็บประกันมาร์จิ้นซึ่งทำให้คุณลงทุนได้โดยอาจเริ่มต้นแค่ที่ 500 บาทเท่านั้น เปรียบเทียบกับการไม่มีมาร์จิ้นคือต่างกันมาก ซึ่งต้องใช้เงินทุนสูง ขั้นต่ำ 1,000 GBP หรือ 43,875 บาท
กรณีที่เป็น Stock CFD Margins คือกำหนดมาร์จิ้นสำหรับ CFD หุ้น ก็ไม่ได้คำนวณแตกต่างจากกรณีของคู่สกุลเงินแต่อย่างใด แต่ข้อพึงระวังคือข้อกำหนดการให้ Leverage แบบเจาะจงสินทรัพย์อ้างอิงที่อาจให้ Leverage แก่หุ้นมากกว่าหรือน้อยกว่าการเทรด CFD อ้างอิงสินทรัพย์อื่นภายใต้บัญชีลงทุนเดียวกัน ซึ่งจะมีผลต่อปริมาณเงินประกัน (Margin) ที่เรียกไว้
เนื่องจากการลงทุนใน CFD เป็นช่องทางให้คนที่มีเงินน้อยสามารถลงทุนได้อย่างง่ายดาย จึงดึงดูดเทรดเดอร์หน้าใหม่เข้ามาเสมอ หากไม่มีการศึกษาการคำนวณต้นทุนการเปิดสัญญาซื้อขาย เทรดเดอร์อาจจะมองไม่เห็นความเสี่ยงของการเทรดด้วย Leverage ซึ่งจริง ๆ แล้ว เทรดเดอร์มืออาชีพทำความเข้าใจกันดีและพยายามหลีกเลี่ยงที่จะใช้ Leverage ในการเทรดโดยสำรองเงินทุนในบัญชีเพียงพอกับมูลค่าเต็มในการเปิดสัญญา และใช้ Leverage แค่เฉพาะกรณีที่ราคาผันผวนสูงและต้องการถือยาว ด้วย Leverage ทำให้พอร์ตทนทานต่อการแกว่งของราคา
กรณีที่มีเงินน้อย สมมติที่ 1,000 บาท ถ้าเข้ามาเทรด EUR/GBP แล้วเก็งกำไรได้ถูกทิศทาง ผลตอบแทนที่ได้รับตามตัวอย่างที่ให้ไปข้างต้น คือ 409.75 บาท แต่ในทางกลับกัน หากราคาจริงเป็นแนวโน้มขาลง และขาดทุนไปถึง 1,000 - 409.75 = 590.25 ก็จะทำให้สูญเสียเงินทุนทั้งหมด 1,000 บาททันที
เริ่มต้นเทรดด้วย CFD ได้อย่างไร
เงินทุนการเทรด CFD
โบรกเกอร์บางรายอนุมัติเปิดบัญชีที่เงินฝากขั้นต่ำเพียง 50 เหรียญ สำหรับกรณีเปิดบัญชี Standard แต่ในหลายเจ้าอาจจะกำหนดเงินฝากขั้นต่ำสูงกว่านั้นที่ 1,000 เหรียญ ซึ่งคำถามว่าเงินทุนการเทรดที่เหมาะสมควรเริ่มต้นเท่าไร คำแนะนำในเรื่องนี้ หากสังเกตจากพฤติกรรมของนักลงทุนมืออาชีพ ปริมาณเงินที่เหมาะสมขั้นต่ำ คือควรจะมีมากพอที่จะครอบคลุมมูลค่าที่แท้จริงของปริมาณหน่วยลงทุนที่เปิดสัญญา เพราะ Leveage สมควรถูกใช้เพื่อจำกัดความเสี่ยงมากกว่าการนำมาเก็งกำไร
อย่างไรก็ตาม การที่โบรกเกอร์ไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมมาร์จิ้นและบางโบรกเกอร์ให้ Leverage ที่สูงมาก ๆ หากเทรดเดอร์ศึกษาจนพอใจแล้ว และได้ทดลองเทรดกับบัญชีทดลองจนมั่นใจ จะนำความรู้ที่ได้มาลองลงทุนจริง ๆ ดู ก็ไม่ใช่เรื่องที่คนอื่นจะมาตัดสินว่าไม่ควรทำ เพราะการลงมือต่างหากที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ การทดลองเล่นกับบัญชีจริงของตัวเอง จะทำให้เข้าใจความรู้สึกของการสูญเสีย และฝึกฝนการเทรดบนระบบ หรือการทำซ้ำ ๆ ในวิธีที่ได้ผล แทนการใช้อารมณ์
การเทรด CFD มีแค่เลือกว่าราคาเป็นขาขึ้นหรือขาลง หลายคนอาจคิดว่านี่ไม่ต่างจากการพนัน แต่จริง ๆ แล้วรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคาเป็นจิตวิทยา และกราฟกับเครื่องมือวิเคราะห์จะช่วยชี้ให้เห็นทิศทางแนวโน้ม ซึ่งเป็นการใช้หลักสถิติเพื่อการตัดสินใจ ตราบใดที่ไม่ได้ตัดสินใจแค่เพียงตามอารมณ์ การเทรด CFD ก็ถือเป็นการเก็งกำไร ไม่ใช่การพนัน
โบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ
เทรดเดอร์ควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของโบรกเกอร์ โดยสังเกตว่าได้รับการตรวจสอบและกำกับดูแลจากหน่วยงานแห่งใดแห่งหนึ่ง หรือมากกว่าหนึ่งแห่งตามรายนามต่อไปนี้ คือ
FCA (Financial Conduct Authority) คือ องค์กรกำกับทางการเงิน สหราชอาณาจักร
ASIC (Australian Securities and Investments Commission) คือ สำนักคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และการลงทุน ประเทศออสเตรเลีย
CySEC (Cyrus Securities and Exchange Commission) คือ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ประเทศไซปรัส
NFA (National Futures Association) เป็นหน่วยงานในสหรัฐอเมริกา
FSC (The Financial Services Commission) เป็นหน่วยงานในเบลีซ อเมริกากลาง
ประเทศไทยไม่มีกฎหมายรองรับการลงทุน CFD จึงไม่มีการจัดตั้งโบรกเกอร์ที่จดทะเบียนกับองค์กรในประเทศไทย แต่การเทรดไม่ได้เป็นสิ่งผิดกฎหมาย สามารถเปิดบัญชีและเทรดได้ โดยรายได้หักต้นทุนจะต้องนำมายื่นเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีด้วย
สินทรัพย์อ้างอิงที่สนใจติดตามราคา
โบรกเกอร์แต่ละเจ้ามีสินทรัพย์อ้างอิงสำหรับการเทรด CFD ยอดนิยม คือ CFD ของ FOREX ที่อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนคู่สกุลเงิน แต่ก็ยังมีสินทรัพย์อ้างอิงอื่น ๆ ในกลุ่มหุ้น ดัชนีหุ้น สกุลเงินดิจิทัล โภคภัณฑ์ พลังงาน ให้อ้างอิงราคาเป็นที่ปรากฏ โดยรายการย่อยของสินทรัพย์อ้างอิงแตกต่างกันไปในแต่ละโบรกเกอร์ ซึ่งทางโบรกเกอร์มักให้บริการบทวิเคราะห์ และปฏิทินทางเศรษฐกิจที่อัปเดตเหตุการณ์สำคัญที่จะกระทบต่อการปรับเปลี่ยนของราคาไว้ให้ แต่ตัวเทรดเดอร์เองก็ควรเลือกลงทุนใน CFD ที่อ้างอิงสินทรัพย์ซึ่งตนเองสนใจในการติดตามราคา
ทั้งนี้ การเลือกสินทรัพย์ ยังอาจจะพิจารณาปัจจัยเรื่องเงินทุนประกอบ ถ้าหากเงินทุนน้อย ควรหลีกเลี่ยงสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทโลหะและพลังงาน แต่คู่สกุลเงินเป็นตัวเลือกที่ดี โดยเฉพาะคู่สกุลเงินยอดนิยมที่มีสภาพคล่องสูง ทางโบรกเกอร์มักจะยกเว้นค่าธรรมเนียมมาร์จิ้นและกำหนดค่า Spread ในขอบเขตที่ต่ำ
ประเภทบัญชีและสิทธิประโยชน์
ประเภทบัญชีของโบรกเกอร์แต่ละเจ้า มักออกแบบมาให้มีขั้นต่ำในการเปิดบัญชีที่แตกต่างกัน ทั้งนี้บัญชีแบบธรรมดา หรือ Stardard มักจะอนุมัติเปิดบัญชีที่เงินทุนต่ำมาก แต่จะไปเก็บค่าสเปรดที่สูงกว่าบัญชีที่กำหนดเงินทุนขั้นต่ำ แต่ขณะเดียวกัน บัญชี Standard จะไม่มีการเรียกเก็บค่า Commission ต่อ Lot การเทรด
ในส่วนบัญชีที่มีการเรียกเก็บเงินขั้นต่ำที่ประมาณ 1,000 ดอลลาร์ขึ้นไป มักจะเป็นบัญชีที่มีค่า Spread โดยเฉลี่ยต่ำกว่าแบบ Standard ซึ่งถ้าเทรดได้อย่างแม่นยำ จะได้กำไรต่อทุนสูงตามที่หวังไว้ โดยสิ่งที่จะต้องแลกเปลี่ยนกัน คือบัญชีเหล่านี้ที่มักจะแนะนำว่าเหมาะกับนักลงทุนที่ชำนาญ มักกำหนดให้มีการชำระค่าธรรมเนียมต่อ Lot ให้กับทางโบรกเกอร์
นอกจากนี้ บางโบรกเกอร์ยังจัดให้มีบริการบัญชีสำหรับผู้นับถือศาสนาอิสลามซึ่งการดำเนินธุรกิจและแสวงหากำไรต้องเป็นไปตามหลักศาสนาอย่างถูกต้องเหมาะสม
บัญชีที่ต่างประเภทกันซึ่งทางโบรกเกอร์ให้บริการ ยังกำหนดขนาดของ Lot เริ่มต้นให้มีจำนวนหน่วยลงทุนที่ต่างกันด้วย คุณควรใช้เวลาศึกษารายละเอียดของบัญชีแต่ละประเภท สิทธิประโยชน์ สัดส่วน Leverage ก็อาจแตกต่างกันระหว่างประเภทบัญชี นอกจากนี้ ยังมีสิทธิพิเศษจากโบรกเกอร์รายต่าง ๆ ด้วย เช่นให้เงินโบนัสที่ทำให้บัญชีสามารถทนต่อความผันผวนได้มากกว่าเงินลงทุนตั้งต้น หรือสามารถขอเงินคืนได้ต่อล็อต หรือมีการสะสมแต้มจากความถี่ในการเทรดเพื่อแลกของรางวัล เป็นต้น
บทส่งท้าย
การลงทุน CFD ไม่ใช่เรื่องยาก กระบวนการเปิดบัญชีทำได้รวดเร็วในเวลาไม่กี่นาที และสามารถเลือกลงทุนด้วยเงินก้อนเล็ก หรือก้อนใหญ่ตามแต่ความสามารถในการลงทุน อย่างไรก็ตามเทรดเดอร์จะต้องเลือกออมเงินบางส่วนไว้ด้วย ไม่ควรนำเงินทั้งหมดมาลงทุนกับ CFD เพราะนี่เป็นสินทรัพย์ทางการเงินที่มีความเสี่ยงสูงมาก
เนื่องจากความเสี่ยง คุณจึงควรศึกษาและฝึกฝนก่อนในบัญชีทดลองซึ่งโบรกเกอร์แต่ละรายมีให้บริการ โดยเบื้องต้น ความรู้ที่จะขาดไม่ได้คือการเข้าใจในประเภทของบัญชี การทำกำไรจากการเปิดสัญญาซื้อขายโดยใช้ CFD Order Type ตลอดจนเข้าใจแนวคิดเรื่อง Leverage, Lot, Pip, Spread, และมาร์จิ้นที่มีผลทำให้ตัดสินใจเลือกเทรด CFD บนราคาสินทรัพย์อ้างอิง มีความสอดคล้องกับงบประมาณ ทำให้มีเงินทุนในบัญชีซื้อขายเผื่อเหลือเผื่อขาดสำหรับการแกว่งของราคา ไม่ปล่อยให้ทุนติดลบจนโดนโบรกเกอร์ Stop Out ปิดบัญชีให้อัตโนมัติ
บทความที่กำลังมาแรง
- “พายุไต้ฝุ่น” ของ FED : ความท้าทายใหม่ต่อกระแสเงินทุนไหลเข้าทั่วโลก
"ในช่วงที่ผ่านมา การดำเนินนโยบายการเงินของ FED ที่เปรียบเสมือน “พายุไต้ฝุ่น” ที่สร้างคลื่นลูกใหญ่ในตลาดการเงินโลก ถ้อยแถลงที่แข็งกร้าวของเขาไม่เพียงแต่ทำให้ตลาดสหรัฐฯ ผันผวนอย่างรุนแรงเท่านั้น แต่ยังทำให้กองทุนทั่วโลกเกิดความผันผวนอย่างรุนแรง และกองทุนกว่า 35 ล้านล้านกองทุนอาจถูกถอนออกอย่างรวดเร็ว การดำเนินการชุดนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อควบคุมเงินเฟ้อหรือปกปิดวิกฤตหนี้สหรัฐฯ บทความนี้จะเจาะลึกประเด็นนี้และวิเคราะห์ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก "
2025-01-10
TOPONE Markets Analyst - 7 วิธีเริ่มต้นสร้างรายได้แบบ Passive Income ฉบับผู้เริ่มต้น
อยากรวยแบบเขาบ้างเริ่มต้นไม่ยากหากนำทางด้วยความรู้ ทุกคนเริ่มต้นจากศูนย์ สร้างรายได้ ต่อยอด ให้เงินทำงานด้วยหลักการของรายได้แบบ Passive Income ที่คุณเองก็หาได้มากกว่าเดือนละ 10,000 บาท
2024-07-03
TOPONE Markets Analyst - 5 ข้อผิดพลาดเทรดเดอร์มือใหม่ สิ่งที่ต้องรู้ก่อนเทรด
ทุก ๆ การลงทุนมีความเสี่ยง แต่ถ้าไม่เริ่มต้นลงทุน เงินเฟ้อจะชนะเงินคุณแน่นอน มือใหม่หัดเทรดเริ่มต้นมั่นใจเพียงเรียนรู้ 5 ข้อผิดพลาดทั่วไปที่พบบ่อยของมือใหม่หัดเทรดก่อนเริ่มต้นในตลาดการเงิน
2024-06-07
TOPONE Markets Analyst - Andrew Tate คือใครและทำไมเขาถึงมีชื่อเสียง? 10 สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ Influencer ที่เป็นข้อโต้แย้ง
ค้นพบว่าใครคือ Andrew Tate และทำไมเขาถึงสร้างกระแสในโลกดิจิทัล ค้นพบข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ 10 ประการเกี่ยวกับผู้มีอิทธิพลที่เป็นที่ถกเถียง การเดินทางของเขา และผลกระทบของเขาต่อโลกออนไลน์
2024-03-01
TOPONE Markets Analyst
ฟรี!

โบนัสเงินคืนเพื่อช่วยให้นักลงทุนเติบโตในโลกของการเทรด!