
เศรษฐกิจประเทศไทย 2566 มีอะไรต้องรู้ ก่อนปรับพอร์ตลงทุน
ระบบเศรษฐกิจวนกลับมาเป็นวัฏจักร เรื่องที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ส่งผลอย่างไร ในอนาคตก็มีแนวโน้มเช่นนั้น การจับตาดูสัญญาณที่สำคัญ ๆ ทางเศรษฐกิจจะช่วยให้สามารถวางแผนการลงทุนที่รับกับสภาพการณ์ได้อย่างมีข้อเท็จจริงยิ่งขึ้น
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องการลงทุน ไม่ว่าจะระยะยาวหรือระสั้น การจัดพอร์ตให้สมดุล รับกับสัญญาณทางเศรษฐกิจ ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ๆ เป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะการบริหารพอร์ตการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดความเสี่ยงของการขาดทุน ด้วยการมีสินทรัพย์การลงทุนที่หลากหลายมาคานน้ำหนักกัน
เป็นการดีหากคุณกำลังพิจารณาที่จะปรับสมดุลพอร์ตการลงทุน แต่ก่อนที่จะทำเช่นนั้นสิ่งสำคัญคือต้องเรียนรู้จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทำความเข้าใจว่ามีสัญญาณใดที่จะกระบทบต่อสภาพเศรษฐกิจโดยรวม แล้วสิ่งนี้จะกระทบต่อพอร์ตและสัดส่วนการถือครองในปัจจุบันได้อย่างไรบ้าง
สัญญาณทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ๆ ซึ่งส่งผลต่อการลงทุนในอดีตที่เราพอจะนึกภาพกันออกคือการระบาดใหญ่ของ COVID-19 ซึ่งส่งผลให้เกิดการหยุดชะงักของตลาดอย่างมีนัยสำคัญและความไม่มั่นคงทางการเงิน ซึ่งเพิ่มความไม่แน่นอนของนักลงทุน
ในบทความนี้ เราจะพูดถึงสิ่งสัญญาณทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ๆ ที่คุณควรทำควมเข้าใจและตระหนักรู้เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงพอร์ตการลงทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ พิ่มโอกาสทำกำไร ลดโอกาสขาดทุนลง
เงื่อนไขทางเศรษฐกิจที่สำคัญต่อการลงทุน
สภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันเป็นวัฏจักรที่สมบูรณ์แบบสำหรับการปรับฐานของตลาดหุ้น ตลาดเกินกำหนดสำหรับการปรับฐาน และมีหลายปัจจัยที่บ่งชี้ว่าอาจเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ เช่น ตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาลงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ที่เกิดจาก COVID-19 และแม้ภายหลังสถานการณ์โรคระบาดคลี่คลาย แต่หลาย ๆ ประเทศก็ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ หรือเกิดเป็นแบบ K-Shape ที่เมื่อคนหนึ่งเอาตัวรอดได้ ในขณะที่อีกคนกลับดิ่งลงเหมือนตัวอักษร K ในภาษาอังกฤษ
เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือ Recession ทำให้การเคลื่อนที่ไปข้างหน้าโดยรวมของเศรษฐกิจของภูมิภาคหนึ่ง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกาที่เป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบ ย่อมส่งผลไปยังตลาดอื่น ๆ ได้โดยง่าย
ในช่วงของภาวะเศรษฐกิจถดถอย สิ่งที่เรามักได้ยินตามมาคือเรื่องของเงินเฟ้อ ดังนั้น มาตรการสำคัญในการแก้ไขเงินเฟ้อของรัฐบาลคือการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก เราจึงเห็นว่าเป็นที่กล่าวถึงกันอย่างมากถึงอัตราดอกเบี้ยกำลังสูงขึ้น ซึ่งจะกดดันหุ้นให้ด้อยค่าลง ในทางกลับกัน สินทรัพย์ที่ได้รับอิทธิพลอย่างเห็นได้ชัดคือเงินฝากระยะสั้น หรือกองทุนรวมที่เกี่ยวเนื่องกับตราสารทางการเงินระยะสั้น ๆ เมื่อมีผู้โชคดี ก็ย่อมต้องมีผู้โชคร้าย นั่นคือบรรดาตลาดหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อที่กำลังสูงขึ้นและอาจเริ่มกัดกินผลกำไรของบริษัท
ปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้บ่งชี้ว่า ขณะนี้อาจยังไม่ใช่เวลาที่จะลงทุนในหุ้นอย่างจริงจัง หากคุณมีพอร์ตโฟลิโอที่มีน้ำหนักมากในหุ้น ตอนนี้อาจถึงเวลาแล้วที่จะปรับสมดุลพอร์ตโฟลิโอและย้ายสินทรัพย์บางส่วนไปเป็นเงินสดหรือพันธบัตร คุณจะสามารถป้องกันตัวเองจากการปรับฐานของตลาดหุ้นที่อาจเกิดขึ้นและรักษาเงินทุนได้
สัญญาณทางเศรษฐกิจที่ควรจับตาดู
นอกจากเงื่อนไขทางเศรษฐกิจที่เราได้กล่าวในย่อหน้าก่อนแล้ว ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อทิศทางการลงทุน เราลองมาทำความเข้าใจสัญญาณใหญ่ ๆ กันแล้วนำไปใช้วางแผนการลงทุนที่เป็นตัวของตัวเองกัน
เงินเฟ้อ เงินฝืด และภาวะเศรษฐกิจถดถอย
เงินเฟ้อคือการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของราคาเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งทำให้อำนาจการซื้อของเงินลดลงและอาจส่งผลเสียต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ภาวะเงินฝืดเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับภาวะเงินเฟ้อและเกิดขึ้นเมื่อราคาลดลงเมื่อเวลาผ่านไป ทำให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคและกิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลง
อัตราดอกเบี้ย
อัตราดอกเบี้ยมีบทบาทสำคัญในการกำหนดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เนื่องจากอัตราที่สูงขึ้นทำให้การกู้ยืมเงินมีราคาแพงขึ้น และลดความต้องการสินเชื่อและการลงทุน
อัตราแลกเปลี่ยน
อัตราแลกเปลี่ยนมีความสำคัญเนื่องจากมีผลต่อต้นทุนการนำเข้าหรือส่งออก ซึ่งส่งผลต่อกระแสการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ
เงื่อนไขสินเชื่อ
เงื่อนไขสินเชื่อหมายถึงความพร้อมของสินเชื่อจากธนาคารและสถาบันการเงินอื่น ๆ ซึ่งอาจส่งผลต่อระดับสินเชื่อที่มีให้สำหรับธุรกิจและผู้บริโภค ส่งผลต่อการลงทุนทางธุรกิจและการใช้จ่ายของผู้บริโภค
การใช้จ่ายของรัฐบาล
การใช้จ่ายของรัฐบาลอาจมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจ เนื่องจากส่งผลกระทบต่อทั้งอุปสงค์รวม (ผ่านการซื้อของรัฐบาล) และอุปทานรวม (ผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน)
นโยบายภาษี
นโยบายภาษีส่งผลต่อแรงจูงใจในการทำงาน เก็บออม ลงทุน หรือบริโภค ซึ่งมีอิทธิพลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านผลกระทบต่อพฤติกรรมส่วนบุคคล
ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว ว่าใครควรจัดพอร์ตอย่างไร แต่ขอให้นึกถึงความเสี่ยงที่เราสามรรถยอมรับได้ ตามแต่ละช่วงอายุและเงื่อนไขทางเศรษฐกิจส่วนบุคคล
FED ขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลต่อเงินของเราอย่างไรบ้าง
เมื่อ Federal Reserve (FED) ซึ่งเป็นธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกาเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากขึ้นเพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อ นี่เป็นสัญญาณไฟเหลืองที่จะบอกเรา ๆ ท่าน ๆ ว่าอีกไม่นานนี้ เงินในกระเป๋าจะเริ่มสั่นคลอนแล้ว
อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงขึ้นหมายถึงต้นทุนการกู้ยืมกับธนาคารที่สูงขึ้นสำหรับผู้บริโภค ซึ่งหมายความว่าหากคุณกู้เงิน (เช่น สินเชื่อที่อยู่อาศัยหรือสินเชื่อรถยนต์) หรือใช้บัตรเครดิต คุณมีแนวโน้มที่จะต้องจ่ายดอกเบี้ยมากขึ้น นอกจากนี้ยังหมายความว่าบัญชีออมทรัพย์และการลงทุนอื่น ๆ ที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่อาจให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า ในทางกลับกัน หาก FED ลดอัตราดอกเบี้ย อาจหมายถึงต้นทุนการกู้ยืมที่ลดลงและผลตอบแทนจากบัญชีออมทรัพย์และการลงทุนที่ลดลง
เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น สิ่งที่เปลี่ยนแปลงตรงกันข้ามคือพอร์ตการลงทุนในหุ้น เพราะการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการควบคุมกระแสเงินในระบบให้เบาบางลง จำกัดการใช้จ่าย จูงใจให้คนนำเงินมาฝากธนาคารกันมากขึ้น เป็นผลให้มูลค่าหุ้นตกต่ำลง ถ้าหากบริษัทอยากขายของให้ได้ ก็ต้องหาวิธีลดต้นทุนด้านต่าง ๆ ลง แต่ถ้าคนทำงานมีรายได้น้อยลง จะนำเงินที่ไหนไปซื้อของ วัฏจักรทางเศรษฐกิจเช่นนี้ ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบจะต้องบริหารให้สมดุล ไม่ให้สุดโต่งไปในทางใดทางหนึ่ง เพราะท้ายที่สุดท้ายมันจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี
ความหลากหลายของพอร์ต กลยุทธ์การอยู่รอดในทุกเศรษฐกิจ
การกระจายการลงทุนเป็นหนึ่งในหลักการสำคัญของการลงทุน สิ่งสำคัญคือต้องกระจายพอร์ตการลงทุนไปยังประเภทสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อลดความเสี่ยงโดยรวม
ในสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน การกระจายการลงทุนมีความสำคัญมากกว่าที่เคย เนื่องจากตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีพอร์ตการลงทุนที่หลากหลายที่สามารถฝ่ามรสุมได้
มีหลายวิธีในการกระจายพอร์ตการลงทุน วิธีหนึ่งคือการกระจายลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ เช่น หุ้น พันธบัตร และเงินสด อีกวิธีหนึ่งในการกระจายความเสี่ยงคือการลงทุนในภูมิภาคทางภูมิศาสตร์ที่หลากหลาย
ไม่ว่าคุณจะเลือกกระจายพอร์ตการลงทุนอย่างไร สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าการกระจายการลงทุนไม่ได้รับประกันว่าจะขาดทุน อย่างไรก็ตาม การกระจายการลงทุนจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในระยะยาว
ก่อนปรับพอร์ตลงทุน ต้องรู้อะไรบ้าง
หากคุณเป็นเหมือนคนส่วนใหญ่ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเมื่อเร็วๆ นี้ส่งผลเสียต่อพอร์ตการลงทุน ราคาหุ้นร่วงลงและนักลงทุนจำนวนมากรู้สึกกังวลเกี่ยวกับอนาคตทางการเงินของพวกเขา
ถึงเวลาที่เหมาะสมในการปรับสมดุลพอร์ตการลงทุน เมื่อพิจารณาการถือครองปัจจุบันอย่างใกล้ชิดและทำการปรับเปลี่ยนเชิงกลยุทธ์ คุณจะสามารถวางตำแหน่งตัวเองเพื่อความสำเร็จในระยะยาวได้
ต่อไปนี้คือสิ่งที่ควรคำนึงถึงเมื่อคุณปรับสมดุลพอร์ตโฟลิโอ
ทบทวนเป้าหมาย
ก่อนที่จะทำการเปลี่ยนแปลงใด ๆ กับพอร์ตการลงทุน สิ่งสำคัญคือต้องถอยออกมาหนึ่งก้าวและทบทวนเป้าหมายการลงทุนก่อน คุณตั้งใจลงทุนไปเพื่ออะไร เช่น เพื่อการเกษียณอายุ การศึกษาของลูก เงินดาวน์บ้าน เมื่อคุณมีแนวคิดที่ชัดเจนเกี่ยวกับเป้าหมายแล้ว คุณสามารถพัฒนาแผนการเพื่อช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายได้
การลงทุนหุ้นระยะยาว ต้องไม่ตระหนกไปกับสัญญาณทางเศรษฐกิจที่พัดผ่านเข้ามาในระยะสั้น เพราะตามที่เราทราบกันทั่วไปว่า การลงทุนระยะยาวในหุ้นพื้นฐานดีแล้ว จะสร้างผลตอบแทนที่เอาชนะตลาดได้
แต่ถ้าเป็นการลงทุนเพื่อเก็บออมหรือเพื่อเป้าหมายระยะสั้น ไม่เกิน 3-5 ปี การเลือกสินทรัพย์ที่เสี่ยงน้อยกว่า สภาพคล่องสูงกว่า แต่ก็จะมีผลตอบแทนที่ต่ำกว่า อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าก็ได้
พิจารณาการยอมรับความเสี่ยง
การลงทุนมีความเสี่ยง แม้แต่การเก็บเงินหยอดกระปุกไว้เฉย ๆ ก็เสี่ยงต่อการถูกด้อยมูลค่าผ่านเงินเฟ้อตามกาลเวลา สิ่งสำคัญคือต้องลงทุนในแนวทางที่สอดคล้องกับการยอมรับความเสี่ยงส่วนบุคคลไปพร้อม ๆ กับเป้าหมายการลงทุนตามระยะยเวลา
คุณสามารถรับกับตลาดที่ผันผวนในระยะสั้นได้หรือไม่ คุณยินดีที่จะรับความเสี่ยงมากขึ้นเพื่อผลตอบแทนที่สูงขึ้นหรือไม่ การถามตัวเองด้วยคำถามเหล่านี้สามารถช่วยคุณกำหนดส่วนผสมของการลงทุนที่เหมาะสมสำหรับพอร์ตการลงทุน
การติดตามสัญญาณทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ๆ ผ่านอัปเดตข่าวการลงทุนประจำวันกับ Top1 Marrkets จะช่วยให้คุณจับสัญญาณสำคัญ ๆ ที่มีอิทธิพลต่อตลาด และวางแนวทางที่เหมาะสมต่อกลยุทธ์การลงทุนส่วนบุคคลได้อย่างมีข้อมูลมากยิ่งขึ้น
ประเภทสินทรัพย์ที่น่าลงทุน
หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงคือการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ซึ่งหมายถึงการลงทุนในหุ้น พันธบัตร และหลักทรัพย์อื่น ๆ ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากกลไกตลาดเดียวกันทั้งหมด
บทส่งท้าย
กล่าวโดยสรุป การเข้าใจสภาวะเศรษฐกิจเป็นส่วนสำคัญในการจับสัญญาณการลงทุนและปรับสมดุลพอร์ต ด้วยการประเมินตลาดและปัจจัยทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน คุณจะมั่นใจได้ว่าการลงทุนสอดคล้องกับเป้าหมายและวัตถุประสงค์ในอนาคตทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว การใช้เวลาในการค้นคว้าแนวโน้มเศรษฐกิจและข่าวการเงินสามารถช่วยให้คุณรับทราบเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจส่งผลต่อความสำเร็จในระยะยาวในฐานะนักลงทุนได้
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องการลงทุน ไม่ว่าจะระยะยาวหรือระสั้น การจัดพอร์ตให้สมดุล รับกับสัญญาณทางเศรษฐกิจ ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ๆ เป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะการบริหารพอร์ตการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดความเสี่ยงของการขาดทุน ด้วยการมีสินทรัพย์การลงทุนที่หลากหลายมาคานน้ำหนักกัน
เป็นการดีหากคุณกำลังพิจารณาที่จะปรับสมดุลพอร์ตการลงทุน แต่ก่อนที่จะทำเช่นนั้นสิ่งสำคัญคือต้องเรียนรู้จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทำความเข้าใจว่ามีสัญญาณใดที่จะกระบทบต่อสภาพเศรษฐกิจโดยรวม แล้วสิ่งนี้จะกระทบต่อพอร์ตและสัดส่วนการถือครองในปัจจุบันได้อย่างไรบ้าง
สัญญาณทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ๆ ซึ่งส่งผลต่อการลงทุนในอดีตที่เราพอจะนึกภาพกันออกคือการระบาดใหญ่ของ COVID-19 ซึ่งส่งผลให้เกิดการหยุดชะงักของตลาดอย่างมีนัยสำคัญและความไม่มั่นคงทางการเงิน ซึ่งเพิ่มความไม่แน่นอนของนักลงทุน
ในบทความนี้ เราจะพูดถึงสิ่งสัญญาณทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ๆ ที่คุณควรทำควมเข้าใจและตระหนักรู้เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงพอร์ตการลงทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ พิ่มโอกาสทำกำไร ลดโอกาสขาดทุนลง
เงื่อนไขทางเศรษฐกิจที่สำคัญต่อการลงทุน
สภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันเป็นวัฏจักรที่สมบูรณ์แบบสำหรับการปรับฐานของตลาดหุ้น ตลาดเกินกำหนดสำหรับการปรับฐาน และมีหลายปัจจัยที่บ่งชี้ว่าอาจเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ เช่น ตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาลงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ที่เกิดจาก COVID-19 และแม้ภายหลังสถานการณ์โรคระบาดคลี่คลาย แต่หลาย ๆ ประเทศก็ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ หรือเกิดเป็นแบบ K-Shape ที่เมื่อคนหนึ่งเอาตัวรอดได้ ในขณะที่อีกคนกลับดิ่งลงเหมือนตัวอักษร K ในภาษาอังกฤษ
เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือ Recession ทำให้การเคลื่อนที่ไปข้างหน้าโดยรวมของเศรษฐกิจของภูมิภาคหนึ่ง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกาที่เป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบ ย่อมส่งผลไปยังตลาดอื่น ๆ ได้โดยง่าย
ในช่วงของภาวะเศรษฐกิจถดถอย สิ่งที่เรามักได้ยินตามมาคือเรื่องของเงินเฟ้อ ดังนั้น มาตรการสำคัญในการแก้ไขเงินเฟ้อของรัฐบาลคือการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก เราจึงเห็นว่าเป็นที่กล่าวถึงกันอย่างมากถึงอัตราดอกเบี้ยกำลังสูงขึ้น ซึ่งจะกดดันหุ้นให้ด้อยค่าลง ในทางกลับกัน สินทรัพย์ที่ได้รับอิทธิพลอย่างเห็นได้ชัดคือเงินฝากระยะสั้น หรือกองทุนรวมที่เกี่ยวเนื่องกับตราสารทางการเงินระยะสั้น ๆ เมื่อมีผู้โชคดี ก็ย่อมต้องมีผู้โชคร้าย นั่นคือบรรดาตลาดหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อที่กำลังสูงขึ้นและอาจเริ่มกัดกินผลกำไรของบริษัท
ปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้บ่งชี้ว่า ขณะนี้อาจยังไม่ใช่เวลาที่จะลงทุนในหุ้นอย่างจริงจัง หากคุณมีพอร์ตโฟลิโอที่มีน้ำหนักมากในหุ้น ตอนนี้อาจถึงเวลาแล้วที่จะปรับสมดุลพอร์ตโฟลิโอและย้ายสินทรัพย์บางส่วนไปเป็นเงินสดหรือพันธบัตร คุณจะสามารถป้องกันตัวเองจากการปรับฐานของตลาดหุ้นที่อาจเกิดขึ้นและรักษาเงินทุนได้
สัญญาณทางเศรษฐกิจที่ควรจับตาดู
นอกจากเงื่อนไขทางเศรษฐกิจที่เราได้กล่าวในย่อหน้าก่อนแล้ว ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อทิศทางการลงทุน เราลองมาทำความเข้าใจสัญญาณใหญ่ ๆ กันแล้วนำไปใช้วางแผนการลงทุนที่เป็นตัวของตัวเองกัน
เงินเฟ้อ เงินฝืด และภาวะเศรษฐกิจถดถอย
เงินเฟ้อคือการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของราคาเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งทำให้อำนาจการซื้อของเงินลดลงและอาจส่งผลเสียต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ภาวะเงินฝืดเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับภาวะเงินเฟ้อและเกิดขึ้นเมื่อราคาลดลงเมื่อเวลาผ่านไป ทำให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคและกิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลง
อัตราดอกเบี้ย
อัตราดอกเบี้ยมีบทบาทสำคัญในการกำหนดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เนื่องจากอัตราที่สูงขึ้นทำให้การกู้ยืมเงินมีราคาแพงขึ้น และลดความต้องการสินเชื่อและการลงทุน
อัตราแลกเปลี่ยน
อัตราแลกเปลี่ยนมีความสำคัญเนื่องจากมีผลต่อต้นทุนการนำเข้าหรือส่งออก ซึ่งส่งผลต่อกระแสการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ
เงื่อนไขสินเชื่อ
เงื่อนไขสินเชื่อหมายถึงความพร้อมของสินเชื่อจากธนาคารและสถาบันการเงินอื่น ๆ ซึ่งอาจส่งผลต่อระดับสินเชื่อที่มีให้สำหรับธุรกิจและผู้บริโภค ส่งผลต่อการลงทุนทางธุรกิจและการใช้จ่ายของผู้บริโภค
การใช้จ่ายของรัฐบาล
การใช้จ่ายของรัฐบาลอาจมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจ เนื่องจากส่งผลกระทบต่อทั้งอุปสงค์รวม (ผ่านการซื้อของรัฐบาล) และอุปทานรวม (ผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน)
นโยบายภาษี
นโยบายภาษีส่งผลต่อแรงจูงใจในการทำงาน เก็บออม ลงทุน หรือบริโภค ซึ่งมีอิทธิพลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านผลกระทบต่อพฤติกรรมส่วนบุคคล
ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว ว่าใครควรจัดพอร์ตอย่างไร แต่ขอให้นึกถึงความเสี่ยงที่เราสามรรถยอมรับได้ ตามแต่ละช่วงอายุและเงื่อนไขทางเศรษฐกิจส่วนบุคคล
FED ขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลต่อเงินของเราอย่างไรบ้าง
เมื่อ Federal Reserve (FED) ซึ่งเป็นธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกาเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากขึ้นเพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อ นี่เป็นสัญญาณไฟเหลืองที่จะบอกเรา ๆ ท่าน ๆ ว่าอีกไม่นานนี้ เงินในกระเป๋าจะเริ่มสั่นคลอนแล้ว
อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงขึ้นหมายถึงต้นทุนการกู้ยืมกับธนาคารที่สูงขึ้นสำหรับผู้บริโภค ซึ่งหมายความว่าหากคุณกู้เงิน (เช่น สินเชื่อที่อยู่อาศัยหรือสินเชื่อรถยนต์) หรือใช้บัตรเครดิต คุณมีแนวโน้มที่จะต้องจ่ายดอกเบี้ยมากขึ้น นอกจากนี้ยังหมายความว่าบัญชีออมทรัพย์และการลงทุนอื่น ๆ ที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่อาจให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า ในทางกลับกัน หาก FED ลดอัตราดอกเบี้ย อาจหมายถึงต้นทุนการกู้ยืมที่ลดลงและผลตอบแทนจากบัญชีออมทรัพย์และการลงทุนที่ลดลง
เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น สิ่งที่เปลี่ยนแปลงตรงกันข้ามคือพอร์ตการลงทุนในหุ้น เพราะการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการควบคุมกระแสเงินในระบบให้เบาบางลง จำกัดการใช้จ่าย จูงใจให้คนนำเงินมาฝากธนาคารกันมากขึ้น เป็นผลให้มูลค่าหุ้นตกต่ำลง ถ้าหากบริษัทอยากขายของให้ได้ ก็ต้องหาวิธีลดต้นทุนด้านต่าง ๆ ลง แต่ถ้าคนทำงานมีรายได้น้อยลง จะนำเงินที่ไหนไปซื้อของ วัฏจักรทางเศรษฐกิจเช่นนี้ ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบจะต้องบริหารให้สมดุล ไม่ให้สุดโต่งไปในทางใดทางหนึ่ง เพราะท้ายที่สุดท้ายมันจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี
ความหลากหลายของพอร์ต กลยุทธ์การอยู่รอดในทุกเศรษฐกิจ
การกระจายการลงทุนเป็นหนึ่งในหลักการสำคัญของการลงทุน สิ่งสำคัญคือต้องกระจายพอร์ตการลงทุนไปยังประเภทสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อลดความเสี่ยงโดยรวม
ในสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน การกระจายการลงทุนมีความสำคัญมากกว่าที่เคย เนื่องจากตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีพอร์ตการลงทุนที่หลากหลายที่สามารถฝ่ามรสุมได้
มีหลายวิธีในการกระจายพอร์ตการลงทุน วิธีหนึ่งคือการกระจายลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ เช่น หุ้น พันธบัตร และเงินสด อีกวิธีหนึ่งในการกระจายความเสี่ยงคือการลงทุนในภูมิภาคทางภูมิศาสตร์ที่หลากหลาย
ไม่ว่าคุณจะเลือกกระจายพอร์ตการลงทุนอย่างไร สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าการกระจายการลงทุนไม่ได้รับประกันว่าจะขาดทุน อย่างไรก็ตาม การกระจายการลงทุนจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในระยะยาว
ก่อนปรับพอร์ตลงทุน ต้องรู้อะไรบ้าง
หากคุณเป็นเหมือนคนส่วนใหญ่ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเมื่อเร็วๆ นี้ส่งผลเสียต่อพอร์ตการลงทุน ราคาหุ้นร่วงลงและนักลงทุนจำนวนมากรู้สึกกังวลเกี่ยวกับอนาคตทางการเงินของพวกเขา
ถึงเวลาที่เหมาะสมในการปรับสมดุลพอร์ตการลงทุน เมื่อพิจารณาการถือครองปัจจุบันอย่างใกล้ชิดและทำการปรับเปลี่ยนเชิงกลยุทธ์ คุณจะสามารถวางตำแหน่งตัวเองเพื่อความสำเร็จในระยะยาวได้
ต่อไปนี้คือสิ่งที่ควรคำนึงถึงเมื่อคุณปรับสมดุลพอร์ตโฟลิโอ
ทบทวนเป้าหมาย
ก่อนที่จะทำการเปลี่ยนแปลงใด ๆ กับพอร์ตการลงทุน สิ่งสำคัญคือต้องถอยออกมาหนึ่งก้าวและทบทวนเป้าหมายการลงทุนก่อน คุณตั้งใจลงทุนไปเพื่ออะไร เช่น เพื่อการเกษียณอายุ การศึกษาของลูก เงินดาวน์บ้าน เมื่อคุณมีแนวคิดที่ชัดเจนเกี่ยวกับเป้าหมายแล้ว คุณสามารถพัฒนาแผนการเพื่อช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายได้
การลงทุนหุ้นระยะยาว ต้องไม่ตระหนกไปกับสัญญาณทางเศรษฐกิจที่พัดผ่านเข้ามาในระยะสั้น เพราะตามที่เราทราบกันทั่วไปว่า การลงทุนระยะยาวในหุ้นพื้นฐานดีแล้ว จะสร้างผลตอบแทนที่เอาชนะตลาดได้
แต่ถ้าเป็นการลงทุนเพื่อเก็บออมหรือเพื่อเป้าหมายระยะสั้น ไม่เกิน 3-5 ปี การเลือกสินทรัพย์ที่เสี่ยงน้อยกว่า สภาพคล่องสูงกว่า แต่ก็จะมีผลตอบแทนที่ต่ำกว่า อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าก็ได้
พิจารณาการยอมรับความเสี่ยง
การลงทุนมีความเสี่ยง แม้แต่การเก็บเงินหยอดกระปุกไว้เฉย ๆ ก็เสี่ยงต่อการถูกด้อยมูลค่าผ่านเงินเฟ้อตามกาลเวลา สิ่งสำคัญคือต้องลงทุนในแนวทางที่สอดคล้องกับการยอมรับความเสี่ยงส่วนบุคคลไปพร้อม ๆ กับเป้าหมายการลงทุนตามระยะยเวลา
คุณสามารถรับกับตลาดที่ผันผวนในระยะสั้นได้หรือไม่ คุณยินดีที่จะรับความเสี่ยงมากขึ้นเพื่อผลตอบแทนที่สูงขึ้นหรือไม่ การถามตัวเองด้วยคำถามเหล่านี้สามารถช่วยคุณกำหนดส่วนผสมของการลงทุนที่เหมาะสมสำหรับพอร์ตการลงทุน
การติดตามสัญญาณทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ๆ ผ่านอัปเดตข่าวการลงทุนประจำวันกับ Top1 Marrkets จะช่วยให้คุณจับสัญญาณสำคัญ ๆ ที่มีอิทธิพลต่อตลาด และวางแนวทางที่เหมาะสมต่อกลยุทธ์การลงทุนส่วนบุคคลได้อย่างมีข้อมูลมากยิ่งขึ้น
ประเภทสินทรัพย์ที่น่าลงทุน
หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงคือการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ซึ่งหมายถึงการลงทุนในหุ้น พันธบัตร และหลักทรัพย์อื่น ๆ ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากกลไกตลาดเดียวกันทั้งหมด
บทส่งท้าย
กล่าวโดยสรุป การเข้าใจสภาวะเศรษฐกิจเป็นส่วนสำคัญในการจับสัญญาณการลงทุนและปรับสมดุลพอร์ต ด้วยการประเมินตลาดและปัจจัยทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน คุณจะมั่นใจได้ว่าการลงทุนสอดคล้องกับเป้าหมายและวัตถุประสงค์ในอนาคตทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว การใช้เวลาในการค้นคว้าแนวโน้มเศรษฐกิจและข่าวการเงินสามารถช่วยให้คุณรับทราบเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจส่งผลต่อความสำเร็จในระยะยาวในฐานะนักลงทุนได้
บทความที่กำลังมาแรง
- 5 เรื่องต้องรู้ หุ้นเทค AI มูฟไปกับเทรนด์โลก
ลงทุนต้องตามเทรนด์ หุ้น AI ทํางานหนักให้กับหลากอุตสาหกรรมรอบโลก มาเรียนรู้ 5 บทบาทของ AI ในธุรกิจต่าง ๆ และคว้าโอกาสของการเติบโตตามเทรนด์โลกไปกับหุ้น AI ต่างประเทศ
2024-10-29
TOPONE Markets Analyst - ส่อง 5 หุ้นดังสปอนเซอร์โอลิมปิก ปารีส 2024
เกาะกระแสปารีสโอลิมปิก 2024 เฟ้นหาหุ้นน่าลงทุนระยะสั้นจากสปอนเซอร์หลักโอลิมปิกที่น่าจับตา สร้างพอร์ตการเล่นหุ้นระยะสั้นด้วยการเทรด CFD
2024-08-07
TOPONE Markets Analyst - 25 คนที่รวยที่สุดในโลกในปี 2023
เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว คนที่รวยที่สุด 25 คนนี้ยากจนกว่าปีที่แล้วถึง 200 พันล้านดอลลาร์ แต่ก็ยังมีมูลค่า 2.1 ล้านล้านดอลลาร์
2024-01-30
TOPONE Markets Analyst - รู้เวลาเปิด - ปิดตลาดหุ้นไทย วางแผนการเทรดอย่างโปร
รอบรู้เวลาเปิดและปิดทำการของตลาดหุ้นไทย เพื่อให้วางแผนการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเหนือชั้นกว่ากับการเทรด CFD ที่ทำได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ขึ้นกับเวลาเปิด-ปิดของตลาดหุ้น
2023-11-15
TOPONE Markets Analyst
ฟรี!

โบนัสเงินคืนเพื่อช่วยให้นักลงทุนเติบโตในโลกของการเทรด!