
คู่มือฉบับสมบูรณ์ ทฤษฎี Elliot Wave คืออะไร ในการเทรด FOREX
เรียนรู้เทคนิคการเทรด FOREX จาก Elliot Wave ในฐานเครื่องมือบอกแนวโน้มของผู้คนในตลาด จากปัจจัยของข่าวสาร ร่วมกับการตรวจดูเทรนด์จากเครื่องมือทางเทคนิกอื่น ๆ
บทนำ
รูปแบบกราฟที่เลือกดูได้ในการเทรด FOREX มีทั้งแบบกราฟเส้น บาร์ แท่งเทียนสี แท่งเทียนแบบกลวง แบบเฮคิงอะชิ กราฟขอบเขตพื้นที่ และแบบเส้นฐาน ซึ่งการที่มีหลายรูปแบบก็เพราะว่ามีทฤษฎีหลากหลายที่ใช้ในการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาด้วยกราฟเพื่อสะท้อนพฤติกรรมของคนที่กำหนดราคาซื้อและขายหลักทรัพย์ในตลาด
ทฤษฎี Elliot Wave คือหลักการเทรดที่ใช้ในการวิเคราะห์กราฟที่เป็นเส้น แต่ไม่จำเป็นต้องใช้กับกราฟเส้น กล่าวคือในบรรดารูปแบบกราฟที่ยกมาว่านักเทรดเลือกดูได้นั้น สามารถจะนำทฤษฎี Elliot Wave ไปประยุกต์ใช้ด้วยการสร้างเส้นกราฟทับลงไป หรือใช้อ้างอิงเพื่อเขียน Elliot Wave ที่มีลักษณะเป็นเส้นลูกคลื่นราคา
Elliot Wave คืออะไร เกิดขึ้นตอนไหน
Elliot Wave คือกราฟเส้นที่ถูกสร้างอยู่บนกราฟเทคนิคที่ใช้กันทั่วไป ทรงเป็นหยักคลื่น ประกอบด้วยคลื่นขาขึ้น (กำกับด้วยเลขสีน้ำเงิน) และคลื่นขาลง (กำกับด้วยเลขสีแดง) ถูกสร้างขึ้นประกอบการวิเคราะห์กราฟแท่งเทียน โดยพิจารณาถึงแนวของแท่งเทียนในภาพรวมเป็นสำคัญ ไม่ใช่การขีดเส้นแนวแทยงขึ้นหรือลงเป็นคลื่นตามการขึ้นลงของแท่งเทียนเป๊ะ ๆ ตามที่เห็น หรือสร้างเส้นคลื่นไปตามแนวกราฟราคาในรูปแบบที่ใช้ซึ่งแสดงโดยแพลตฟอร์มการเทรด หากแต่เป็นการสร้างขึ้นโดยมองให้ออกถึงรูปแบบคลื่นตามหลักทฤษฎีที่บางครั้งก็ปรากฎให้เห็นง่าย ๆ แต่หลายครั้งก็ซ่อนตัวอยู่ ต้องใช้เวลาในการมองหา การที่มองให้ออกเองทำให้หลายคนหลีกเลี่ยงที่จะใช้ Elliot Wave
อย่างไรก็ตาม Elliot Wave เป็นเครื่องมือที่สะท้อนพฤติกรรมธรรมชาติของคนได้อย่างดี หากใช้เป็นก็จะสามารถจับจับจังหวะที่จะเข้าไปได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป้าหมายคือเข้าในช่วงเริ่มต้นของคลื่นลูกที่สาม (3) ซึงเป็นโอกาสที่จะทำกำไรได้สูง
ที่มาภาพ: ราคาคู่สกุลเงิน USDCHF โดย MetaTrader 5 (MT5) วันที่ 10 มีนาคม 2565
รูปแบบการเคลื่อนที่ของราคาแบบ Elliott Wave เริ่มต้นจากการถูกกระตุ้นด้วยข่าวสาร ผู้คนเข้าซื้อและผลักให้ระดับราคาขยับขึ้น แต่หลังจากเวลาผ่านไป กลุ่มคนที่เข้าไปซื้อก่อนหน้าก็อาจจะรู้สึกกลัวว่าราคาจะตกลง จึงเริ่มมีการเทขาย แต่ก็มีคนอีกกลุ่มที่รอดูท่าทีก่อน และมองว่าราคาน่าจะขึ้นไปอีก หรืออิทธิพลของข่าวยังคงอยู่ จึงได้เกิดแรงซื้อที่มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความโลภของมนุษย์จะผลักให้กราฟสูงขึ้น แต่ในขณะที่ราคามากขึ้นก็จะมีกลุ่มคนที่เทขายอีก ทำให้ราคาขึ้นและลงสลับกันไป กระทั่งพ้นจากจุดสูงสุด ราคาก็จะพักตัว เป็นช่วง A-B-C และตลาดก็จะปรับไป อาจจะเข้าสู่ Sideway หรือเป็นแนวโน้มขาขึ้นเช่นเดิม หรือเป็นแนวโน้มขาลง
คลื่นที่เป็นช่วงขึ้นและลงนี้ นำมาจัดประเภทได้ 2 ประเภทหลัก คือ
คลื่นกระตุ้น (Impulsion) คลื่นที่กำกับด้วยเลข 1-2-3-4-5
คลื่นพักตัว (Correction) คลื่นทีก่ำกับด้วย A-B-C
ในรูปภาพ เส้นสีน้ำเงินคือช่วงที่ราคาขยับขึ้น และเส้นสีแดงคือราคาขยับลง
ผู้ที่คิดค้น Elliot Wave ขึ้นมา คือ Ralph Nelson Elliott โดยเขากำหนดรูปแบบของ Elliot Wave จากการศึกษาดัชนีดาวโจนส์ หลังได้ข้อสรุปว่าตลาดมีการปรับเปลี่ยนอย่างมีแบบแผนตามพฤติกรรมของมนุษย์ที่ตอบสนองต่อราคาและผลกำไร
ต่อมา Ralph Nelson Elliott ยังออกหนังสือที่ชื่อว่า Elliott Wave Principle ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของการศึกษารูปแบบการวิเคราะห์ Elliot Wave อย่างแพร่หลายในกลุ่มนักเทรด โดยเฉพาะบรรดามืออาชีพ โดยอาจจะมีการใช้ร่วมกับเครื่องมือทางเทคนิคอื่น ๆ เพื่อความมั่นใจในจังหวะการเข้าหรือออกในตลาด
ทั้งนี้การลากเส้น Elliot Wave เพื่อให้สัมพันธ์กับกราฟ จะพบว่าอาจจะพาดทับรูปแบบของกราฟดั้งเดิมซึ่งมีลักษณะเฉพาะอยู่แล้ว หรือในหนึ่งเส้นคลื่นยังสามารถมองว่ามีหลายเส้นคลื่นได้ เป็นผลให้นักเทรดสามารถวิเคราะห์และแบ่ง Elliot Wave ได้เป็นรูปแบบใหญ่ ๆ และแยกย่อยลักษณะไปอีกเพื่อศึกษาอย่างละเอียด
รูปแบบต่าง ๆ ของ Elliot Wave
Elliot Wave สามารถแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบใหญ่ ๆ
รูปแบบ Trend (แนวโน้ม) เห็นว่าราคาอยู่ในช่วงขาขึ้น หรือขาลง
รูปแบบ Sideway (ไม่มีแนวโน้ม) หรือการที่ราคาวิ่งไปในช่วงกรอบแคบ ๆ โอกาสทำกำไรน้อย หรือหาก Spread แสดงส่วนต่างของราคาเสนอซื้อและขายที่เป็นเหมือนกับต้นทุนการเปิดสถานะซื้อขายกว้าง ก็อาจจะทำกำไรไม่ได้เลย ในช่วงที่กราฟแสดงรูปแบบ Sideway นี้จะไม่สามารถระบุได้ว่าราคาอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง หรือจะไปทางทิศทางไหนกันแน่
ใน 2 รูปแบบใหญ่ ๆ นี้ สามารถแบ่งตามลักษณะย่อยได้อีก ดังตัวอย่างต่อไปนี้
รูปแบบ Trend (แนวโน้ม)
ลักษณะแบบ Impulse Wave
จะมีลักษณะพื้นฐานดังที่แสดงไปแล้ว คือมี 5 เส้นคลื่นหลัก และตามด้วยอีก 3 เส้นคลื่นพักตัว สามารถขีดลากคร่อมทับภาพกราฟราคาทางเทคนิคแบบต่าง ๆ ที่ดูอยู่ได้เลย
การเคลื่อนที่ของ Elliott Wave ลักษณะแบบ Impulse Wave สำหรับแนวโน้มขาขึ้น มีกฎหลัก คือ
เส้นคลื่นที่ 2 จะไม่ร่วงลงไปต่ำกว่า จุดเริ่มต้นของเส้นที่ 1
เส้นคลื่นที่ 3 จะต้องไม่สั้นที่สุด
เส้นคลื่นที่ 4 จะต้องไม่มีจุดต่ำสุดที่ต่ำกว่าจุดต่ำสุดของเส้นเคลื่อนที่ 1 หรือจุดเริ่มต้นของเส้นคลื่นที่ 3
ลักษณะแบบ Motive Wave (การเคลื่อนที่เคลื่อนไหวตามแนวโน้ม)
Double ZigZag Correction จะเป็นรูปแบบของการไถลลงของระดับราคา (ฟันปลาเฉียงลง) หรือการไถลขึ้นของระดับราคา (ฟันปลาเฉียงขึ้น) ประกอบด้วยลำดับคลื่นย่อยแบบ 5-3-5-3 คือเป็นคลื่นกระตุ้น 5 เส้นคลื่น คลื่นพักตัว 3 เส้นคลื่น และคลื่นกระตุ้นอีก 5 เส้นคลื่น แล้วขยายต่อไปอีก มีคลื่นพักตัวอีก 3 เส้น จะทำให้กลายเป็น Double ZigZag
หากใช้ Trend Line มาประกอบ จะพบว่ามาประกบด้านบนและล่างของเส้นคลื่นโดยเส้นที่ประกบอยู่มีระยะห่างไล่เลี่ยหรือเท่ากันตลอดแนว ทำให้เห็นว่าTrend Line ทั้งสองขนานกัน
Diagonal Wave จะเป็นรูปแบบของ Impulse ที่เข้าไปอยู่ในคลื่นของของ Impulse Wave ลูกใหญ่อีกทีหนึ่ง โดยเมื่อเส้นคลื่นที่ 5 ของ Impulse Wave ลูกใหญ่กำลังจะสิ้นสุดลง อาจจะพบกับ Diagonal Wave ขณะระดับราคาไถลลง (ฟันปลาเฉียงลง) หรือไถลขึ้น (ฟันปลาเฉียงขึ้น)
หากลองใช้ Trend Line มาประกอบเฉพาะในส่วนที่สงสัยว่าเป็น Diagonal Wave จะพบว่าสามารถเห็นเส้น Trend Line เอียงเฉียงและส่วนปลายบีบเข้ามาจนเกือบบรรจบกันได้
รูปแบบ Sideways (ไม่มีแนวโน้ม)
ลักษณะแบบ Standard Correction
Flat Correction สังเกตได้ง่ายว่าคลื่นขึ้นและคลื่นลงมีความสูงเสมอกัน และดำเนินไปซ้ำ ๆ ในลักษณะเดียวกันซ้ำไปซ้ำมา
ZigZag Correction เป็นไปในลำดับ 5-3-3 คือเส้นคลื่นพักตัวดำเนินวนเวียนไปมา ไม่มี Impulse เกิดขึ้นหลังเส้นคลื่นพักตัว 3-3
Triangle Correction เป็นไปในลำดับ 3-3-3 คือเส้นคลื่นพักตัวดำเนินไป ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ขยับเหมือนจะไปสู่แนวโน้มทิศทางใดทิศทางหนึ่ง แต่สุดท้ายกลับไม่ปรับเปลี่ยนเป็น Impulse Wave เสียที อย่างไรก็ตามจะพบว่าในการซ้ำลำดับ 3-3-3 นี้ จะมีกรอบของราคาที่เส้นคลื่นขึ้นและเส้นคลื่นลงหดตัวแคบลง ซึ่งทำให้เมื่อใช้เส้น Trend Line จะพบว่าเส้น Trend Line เอียงเฉียงขึ้นหรือลงประกบบนล่าง ซึ่งความเอียงนั้นสุดท้ายสามารถมาตัดกันได้ และการจบลงของ Triangle Correction จะเกิดขึ้นเมื่อราคาสามารถพุ่งทะยานไปเหนือกว่าจุดสูงสุดที่เคยทำไว้ก่อนหน้า (Ascending Trianble) หรือหล่นไปต่ำกว่าจุดต่ำสุดที่เคยทำไว้ก่อนหน้า (Descending Triangle)
ลักษณะแบบ Non-Standard Correction
พึ่งพาการวิเคราะห์ร่วมกับ Fibonacci Retracement โดยลักษณะของกราฟจะดูเผิน ๆ เหมือนกับลักษณะในกลุ่ม Standard Correction เพียงแต่คลื่นเส้นที่ 2 และ 3 จะเรียกเป็นคลื่นเส้น b และ c และอ้างอิงการปรับเปลี่ยนของราคากับสัดส่วนเปอร์เซ็นต์ของ Fibonacci Retracement กล่าวคือในส่วนของคลื่น b จากจุดเริ่มต้นเส้นคลื่น ไปจบที่จุดเริ่มต้นของเส้นคลื่น c ทาบกับ Fibonacci Retracement ซึ่งเป็นเครื่องมือวิเคราะห์อื่นร่วม จะเห็นว่ามีการเคลื่อนที่ของราคาที่ระดับ 61.8% ตามหลัก Goldern Rule ของ Fibonacci Retracement
ใช้ Elliot Wave อย่างไร ในการเทรด FOREX
ตลาด FOREX หรือตลาดสำหรับซื้อขายสัญญาส่วนต่าง (Contract for Difference, CFD) ที่สามารถเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างคู่สกุลเงิน นักเทรดต้องเน้นฝึกฝนการหาการกลับตัวของแนวโน้มราคา เพื่อเปิดสถานะซื้อขายสัญญาส่วนต่างได้ถูกตัวหลักทรัพย์และถูกเวลา การใช้ Elliot Wave สามารถพึ่งพาเพื่อหาจังหวะเข้าเปิดสถานะซื้อ (Buy) หรือขาย (Sell) และทำกำไรได้ตามต้องการ
จุดอ่อนของ Elliot Wave
เนื่องจาก Elliot Wave ไม่ได้เป็นการมองภาพที่แปะทับเข้าไปพอดีกับรูปแบบกราฟเสมอไป บางครั้งจึงมีการถกเถียงกันถึงจุดอ่อนของ Elliot Wave ว่าเส้นคลื่นที่ทำการสร้างขึ้นและทาบลงไปนั้น เป็นตัวแทนของคลื่นขาขึ้นและขาลงที่ถูกต้องหรือไม่
อีกทั้งการใช้ Elliot Wave ในการเทรด จะต้องใช้เวลาในการสังเกตดูกราฟ และมีความชำนาญในการตีเส้น Trend Line ทำให้นักเทรดที่ไม่มีความชำนาญมักหลีกเลี่ยงที่จะนำมาใช้ หรือทำความเข้าใจเพียง Impulse Wave อย่างเดียว ซึ่งอาจจะทำให้มีโอกาสคาดคะเนจังหวะเข้าซื้อผิดพลาด และทำให้ไม่เชื่อการใช้ทฤษฎี Elliot Wave ในการวางแผนการลงทุน
ทั้งนี้ แม้จะมองเห็นจุดอ่อนของ Elliot Wave แต่โปรดอย่าลืมว่านี่เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ในการเทรดหรือการลงทุน สมองมีการประมวลผลเป็นภาพ แต่ถ้าหากว่านักเทรดรู้สึกไม่มั่นใจหรือไม่เก่งการมองกราฟเป็นภาพ วิธีที่จะฝึกสร้าง Elliot Wave ให้ชำนาญคือการใช้เครื่องมือทางเทคนิคอื่น ๆ ที่ทางแพลตฟอร์มสำหรับเทรดมีไว้บริการ
เครื่องมือที่ใช้ทำงานร่วมหรือทดแทน Elliot Wave
Elliot Wave เป็นเทคนิคการเทรด FOREX ที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายสำหรับมืออาชีพซึ่งการนำทฤษฎี Elliot Wave ไปใช้ สามารถอ้างอิงการนับ Wave จากการดู FOREX Indicator ต่าง ๆ ในกลุ่มของ Oscilitator Indicator อาทิ
MACD (Moving Average Divergence and Convergence) เมื่อเลือกเครื่องมือนี้มาใช้ ในแพลตฟอร์ม MT5 จะแสดงให้เห็นองค์ประกอบของเครื่องมือประกอบด้วย
เส้น Signal คำนวณมาจาก EMA9
เส้น MACD ปรากฏล้อกับเงา MACD Histogram คำนวนมาจากผลต่างของค่าเฉลี่ย EMA (EMA12-EMA26) กราฟนี้จะเป็นสีเทา สีเขียว หรือสีฟ้าโดยค่ามาตรฐาน ใช้เทียบกับเส้น Signal เมื่อ MACD มีค่าต่ำกว่าเส้น Signal เป็นสัญญาณให้เปิดสถานะขาย แต่ถ้าหากว่าเส้น MACD อยู่เหนือเส้น เป็นสัญญาณว่าให้เปิดสถานะซื้อ
ที่มาภาพ: MACD ราคาคู่สกุลเงิน USDCHF โดย MetaTrader 5 (MT5)
Moving Average of Oscillator มีความคล้ายคลึงกับ MACD อ้างอิงเส้นค่าเฉลี่ยราคา Moving Average ที่แสดงออกมาเป็น Histogram หรือกราฟแท่ง
ที่มาภาพ: Moving Average of Oscillator ราคาคู่สกุลเงิน USDCHF โดย MetaTrader 5 (MT5)
Stochastic Oscillator ดูแรงผลักของราคาจากดัชนี 0-100 ซึ่งอธิบายภาพรวมความผันผวนของราคา และสะท้อนออกมาเป็นเส้น %K ที่เมื่อแตะที่ระดับค่า 80 แสดงว่าราคาเป็นแนวโน้มค่าขึ้น และแตะที่ระดับค่า 20 แสดงว่าราคาเป็นแนวโน้มขาลง และค่าเฉลี่ยของเส้น %K คือเส้น %D โดยในเวลาที่ตลาดผันผวนหนัก จะเน้นดูที่เส้น %D เป็นสำคัญ
ที่มาภาพ: Stochastic Oscillator ราคาคู่สกุลเงิน USDCHF โดย MetaTrader 5 (MT5)
บทส่งท้าย
Elliot Wave คือการมองการปรับเปลี่ยนของราคาเป็นรูปแบบคลื่น ซึ่งมีเพียงแค่คลื่นขึ้นและลง เมื่อเปรียบเทียบจุดต่ำสุดและสูงสุดของคลื่น ร่วมกับการนับลูกคลื่นเข้าร่วม อยู่บนพื้นฐานความเชื่อว่าพฤติกรรมของมนุษย์ถูกกระตุ้นด้วยความโลภและความกลัว จะทำให้ชี้จุดที่ควรจะจับจ้องเพื่อเตรียมเข้าเปิดสถานะซื้อหรือขาย โดยทั่วไปนักเทรดจะหวังเข้าที่เส้นคลื่นที่ 3 ซึ่งราคาควรจะขยับไปยังราคาสูงสุดจุดใหม่ก่อนจะตกลงอีกครั้ง และขยับไปยังจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งเป็นลำดับต่อไป
อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก Elliot Wave ถูกสรุปมาจากภาพกราฟในอดีต แต่ขณะเทรดจริง ใครจะอนาคตที่แน่นอน การรอจนเส้นคลื่นที่สามปรับขึ้นไประดับหนึ่งเพื่อยืนยันว่าแนวโน้มเป็นขาขึ้นก็น่าจะช่วยลดความรู้สึกกังวลลงได้ หรือหากขายก่อนไปถึงจุดสูงสุดของเส้นคลื่นที่ 5 เพื่อลดความเสี่ยงจากความไม่รู้ว่าจุดสูงสุดจะไปสิ้นสุดที่ใด ก็ช่วยควบคุมความเสี่ยง
ต้องไม่ลืมว่า ไม่มี FOREX Indicator ใดที่สมบูรณ์แบบ คุณต้องนำเครื่องมืออื่น ๆ ที่นำมาใช้ร่วม จะทำให้สังเกตได้ถึงปริมาณการซื้อขายที่ราคาขาขึ้นหรือขาลงมีความหนาแน่นในขณะใดขณะหนึ่ง กรณีที่เห็นความหนาแน่นในการซื้อลดลง แสดงว่าราคากำลังกลับตัวเป็นขาลง นั่นสนับสนุนการเปิดสถานะขาย และในทางกลับกันความหนาแน่นในการขายที่ลดลง แสดงว่าราคากำลังกลับตัวเป็นขาขึ้น สนับสนุนความเชื่อจากการนับ Elliot Wave ร่วมด้วยได้ว่าเป็นเวลาที่ควรเปิดสถานะซื้อ
บทความที่กำลังมาแรง
- 5 เรื่องต้องรู้ หุ้นเทค AI มูฟไปกับเทรนด์โลก
ลงทุนต้องตามเทรนด์ หุ้น AI ทํางานหนักให้กับหลากอุตสาหกรรมรอบโลก มาเรียนรู้ 5 บทบาทของ AI ในธุรกิจต่าง ๆ และคว้าโอกาสของการเติบโตตามเทรนด์โลกไปกับหุ้น AI ต่างประเทศ
2024-10-29
TOPONE Markets Analyst - ส่อง 5 หุ้นดังสปอนเซอร์โอลิมปิก ปารีส 2024
เกาะกระแสปารีสโอลิมปิก 2024 เฟ้นหาหุ้นน่าลงทุนระยะสั้นจากสปอนเซอร์หลักโอลิมปิกที่น่าจับตา สร้างพอร์ตการเล่นหุ้นระยะสั้นด้วยการเทรด CFD
2024-08-07
TOPONE Markets Analyst - 25 คนที่รวยที่สุดในโลกในปี 2023
เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว คนที่รวยที่สุด 25 คนนี้ยากจนกว่าปีที่แล้วถึง 200 พันล้านดอลลาร์ แต่ก็ยังมีมูลค่า 2.1 ล้านล้านดอลลาร์
2024-01-30
TOPONE Markets Analyst - รู้เวลาเปิด - ปิดตลาดหุ้นไทย วางแผนการเทรดอย่างโปร
รอบรู้เวลาเปิดและปิดทำการของตลาดหุ้นไทย เพื่อให้วางแผนการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเหนือชั้นกว่ากับการเทรด CFD ที่ทำได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ขึ้นกับเวลาเปิด-ปิดของตลาดหุ้น
2023-11-15
TOPONE Markets Analyst
ฟรี!

โบนัสเงินคืนเพื่อช่วยให้นักลงทุนเติบโตในโลกของการเทรด!